หากเป็นในอดีตสัญญาณที่ชี้ว่าเรื่องไหนได้รับความสนใจหรือกลายเป็นปัญหาจนน่ากังวล คือ ผู้คนทั่วไปต่างพูดถึงในวงสังคม สื่อนำมาเสนอบ่อย ๆ และมีหนังสือออกมา ข้ามมาปัจจุบันคงต้องรวมโพสต์ที่เป็นบทความและคลิปวิดีโอบนสื่อออนไลน์เข้าไปด้วย

ตีกรอบให้แคบเข้าเฉพาะในร้านหนังสือ นอกจากเคล็ดลับสอนรวยและจิตวิทยาคลายเครียดแล้ว วิธีการใช้บรรดา Smart device อย่างเหมาะสมและบำบัดการเสพติดสื่อโซเชียลคือหนังสือที่ทุกร้านขาดไม่ได้ ช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา

เรื่องนี้ได้รับความสนใจจนแตกออกมาสองตัวย่อสุดขั้วคนสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่หมั่นเช็ก Smart device เพราะกลัวพลาดข้อมูลข่าวสาร (Fear Of Missing Out – FOMO) กับกลุ่มที่ยอมพลาดข้อมูลข่าวสารเพื่อเรียกคืนความสุขในชีวิต (Joy Of Missing Out – JOMO)

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเราต่างต้องพึ่งพา Smart device และ Social media เพื่อติดต่อสื่อสารและติดตามข้อมูลข่าวสาร จนกล่าวได้เลยว่า อย่างแรกที่เราทำกันหลังตื่นนอนทั้งที่ยังไม่ลุกจากเตียง คือ หยิบ Smartphone แล้วเข้า Social media เพื่อดูความเคลื่อนไหวของเพื่อนฝูง และคนในครอบครัว

ระหว่างวันหรือทุกครั้งเมื่อว่าง เรายังเปิด Social media ทั้ง Facebook Instagram Twitter และ TikTok กันอีก โดยที่สุดพฤติกรรมดังกล่าวก็กลายเป็นปัญหา เพราะเรากลัวว่าหากเราคว่ำหน้าจอ Smartphone ก็อาจพลาดการติดต่อหรือตกข่าว

แม้รู้ดีว่านี่ทำให้เราได้รับการแจ้งเตือนมากเกินไป จนข้อมูลท่วม เสียสมาธิการทำงานจนไม่สามารถจดจ่ออยู่กับอะไรนาน ๆ ได้และชีวิตไม่มีความสุข 

เมื่อเราเป็น FOMO กันมากกว่า JOMO จึงกลายเป็นปัญหา เป็นข้อกวนใจ (Pain point) จนนำมาสู่การคิดวิธีต่าง ๆ นานา ปรากฏเป็นข่าวอยู่เรื่อย ๆ เช่น การสั่งงดใ่ช้ Smartphone ของหมู่บ้านในอินเดีย และการสั่งห้ามใช้ Smartphone ของร้านราเม็งในญี่ปุ่น 

รวมไปถึงการใช้แอปเพื่อให้สามารถอยู่อย่างสงบแบบพระ ท่ามกลางการแจ้งเตือนที่ประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน ที่เรียกกันว่า Monk mode  

การเข้าสู่ Monk mode ทั้งผ่านแอปและด้วยวิธีการต่าง ๆ เป็นหนึ่งในคลิปที่ยอดการเข้าไปดูหรือยอดวิวเพิ่มขึ้นบน TikTok โดยจาก 31 ล้านวิวเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อต้นตุลาคมได้เพิ่มขึ้นเป็น 71 ล้านวิวแล้ว

หนึ่งในแอปกลุ่ม Monk mode ช่วยปิดกั้นการแจ้งเตือนสื่อโซเชียลได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ ที่มีผู้ใช้มากสุดคือ Freedom ซึ่งทีมผู้สร้าง คิดค้นขึ้น หลังเห็นว่าทุกคนต่างเช็ก Social media กันจนเกือบทำปริญญานิพนธ์กันไม่เสร็จ

แอป Freedom มียอดดาวน์โหลดเพิ่มต่อเนื่อง โดยปี 2021 อยู่ที่ 500,000 ครั้ง เพิ่ม 50% จากปี 2020 พอมาปีนี้ (2023) ยอดดาวน์โหลดทั่วโลก เพิ่มเป็น 2.5 ล้านครั้งแล้ว

Susie Alegre ทนายความชาวอังกฤษ เผยว่าเป็นหนึ่งในผู้ใช้แอป Freedom ซึ่งช่วยให้เธอมีสมาธิการทำงานดีขึ้นทำงานเสร็จไปหลายอย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเขียน Freedom to Think หนังสือ How to ชี้วิธีใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีอิสระในการทำเรื่องต่าง ๆ ในยุคที่ขาด Social Media ไม่ได้

Susie Alegre และทีมผู้สร้างแอป Freedom เห็นตรงกันว่า การเข้า Monk mode ผ่านแอปคือวิธีการที่ง่ายและได้ผลที่สุดแล้ว เพราะสัญลักษณ์การแจ้งเตือนจากสื่อโซเชียล รวมไปถึง email

และข้อมูลข่าวสารหรือเคล็ดลับรวยลัดต่าง ๆ ไปกระตุ้นการสร้าง Dopamine เคมีสร้างความพึงพอใจในสมอง ซึ่งจะลดลงได้ก็ต่อเมื่อได้รู้ว่าการแจ้งเตือนต่าง ๆ นั้นเป็นอะไร โดยหากบ่อย ๆ เข้าก็จะกลายเป็นการเสพติด

ยิ่งกว่านั้นเหล่า Social Media แพลตฟอร์มต่าง ๆ ก็มีทัพผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและนักพฤติกรรมศาสตร์เป็นทีมที่ปรึกษา ช่วยพัฒนาวิธีการแจ้งเตือนที่ผู้ใช้ยากที่จะเพิกเฉยจนที่สุดต้องกดเข้าไปดู และพอรู้ตัวอีกทีก็เสียเวลาไปพักใหญ่แล้ว

Mark Channon ที่ปรึกษาด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน กล่าวว่า เราสามารถลดการใช้ Social Media และการเหลือบไปดูการแจ้งเตือนต่าง ๆ ได้ด้วยการถามตัวเองว่าอะไรที่จำเป็นที่สุดต้องทำก่อนเริ่มวันทำงาน และเริ่มจากน้อย ๆ ก่อน จากนั้นทำบ่อย ๆ จนติดเป็นนิสัย  

อย่างไรก็ตาม Vladimir Druts ผู้ร่วมก่อตั้ง FocusMe แอปกลุ่ม Monk mode อีกแอปที่กำลังได้รับความนิยม ยังเห็นว่าแอปนี่แหละคือการเข้าสู่ Monk mode ที่ง่าย สะดวกประหยัดที่สุด สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีเงินซื้อคอร์สบำบัดการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลแพง ๆ และต่อไปจะยิ่งจำเป็น

เพราะนี่เป็นการนำเทคโนโลยีมาสู้กับเทคโนโลยี และยิ่งกว่านั้นในอนาคตทุกแพลตฟอร์มคงนำ AI มาใช้วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้

จนแค่การห้ามใจตัวเองและพึงระลึกไว้ว่าหากอยากมีชีวิตที่มีความสุขต้องใช้อุปกรณ์ดิจิทัลอย่างรู้เท่าทัน (Digital mindfulness) เมื่อไม่อาจตัดขาดได้นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป/bbc


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer