เทรนด์การกิน จากงาน Marketeer Forum – Turning Point บทเรียนและจุดเปลี่ยนธุรกิจอาหาร

เทรนด์อาหารโลกเปลี่ยนไปอย่างไร ในวันที่ วิกฤติ COVID-19 และ Russia-Ukraine War คือ 2 เหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทั่วโลกอย่างรุนแรงในวงกว้าง โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าอาหารสูง

และได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญกับค่านิยมและพฤติกรรมผู้บริโภคในบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร

 

ในงาน Marketeer Forum – Turning Point บทเรียนและจุดเปลี่ยนธุรกิจอาหารโชติกา ชุ่มมี ผู้จัดการคลัสเตอร์สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิต SCB EIC ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกที่ได้ปรับเปลี่ยนโลกแห่งการกินจนเกิดเทรนด์ที่สำคัญ 4 เทรนด์ได้แก่

 

1.Healthy Choices

อาหารปลอดภัย ได้รับความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ จากผู้บริโภคมีความใส่ใจในอาหารการกินและการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น ผ่านการลดและการเลิกบริโภคอาหารที่มีวัตถุเจือปน, มีสารปรุงรส เกลือ น้ำคาล ไขมัน แต่งสี สารกันบูด เป็นต้น เนื้อปลา ไก่ ยังเป็นอาหารที่ผู้บริโภคยังให้ความสนใจในการบริโภค

และนอกจากนี้ผู้บริโภคยังมีความต้องการบริโภคอาหารอินทรีย์ หรือ Organic Foods มากยิ่งขึ้นเพิ่อตอบโจทย์ในเรื่องของ Health & Wellness จะเห็นได้ว่าในซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ จะมีเชลฟ์สินค้าออแกนิคเป็นจำนวนมาก

จากข้อมูลของ SCB EIC พบว่าอาหารและเครื่องดื่มในกลุ่ม Organic ทั่วโลก

จากปี 2013 ที่มีมูลค่า 80,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เพิ่มขึ้นเป็น 124,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2017

และคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่า 323,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024

เมื่อผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพจึงมีส่วนสำคัญผลักดันอาหารประเภท Plant-Based เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยอัตราการเติบโตจากปี 2020 ไปยังปี 2030 มากถึง 451% จากความต้องการอาหารที่ดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

2.Personalized Choices

กลายเป็นเทรนด์ที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น ด้วยการตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลที่แตกต่างจากสินค้าทั่วไปตามท้องตลาด คำว่า One Size Fits All ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป

เทรนด์อาหารและเครื่องดื่มมีการปรับตัวตอบโจทย์ผู้บริโภคด้านนี้ขึ้นเรื่อยๆ

อย่างเช่นอาหารสำหรับช่วงอายุ ไม่ว่าจะเป็นอาหารสำหรับทารก อาหารเด็ก อาหารสำหรับผู้สูงอายุ

ซึ่งอาหารสำหรับผู้สูงอายุเป็นเซ็กเมนต์ที่น่าจับตามอง ด้วยสังคมสูงวัยทั่วโลกที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว

จากจำนวนผู้สูงอายุทั่วโลกที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 500 ล้านคน ในปี 1990 และเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ มีแบรนด์รอยัลตี้สูงมาก ถูกใจสินค้าอะไรจะไม่ค่อยเปลี่ยน

อาหารที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป  เช่นอาหารสำหรับคนแอคทีฟที่ต้องมีพลังงานมากขึ้น อาหารสำหรับผู้ป่วย

อาหารที่ตอบโจทย์ด้านพันธุกรรม เงื่อนไขด้านสุขภาพ เช่นอาหารที่ตอบโจทย์ด้านดัชนีมวลกาย (BMI) กรุ๊ปเลือด

เพิ่มเป็น 1,000 ล้านคนในปี 2017

และคาดการณ์ว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็น 2,100 ล้านคนในปี 2050 ก่อนที่จะขึ้นมาเป็น 3,100 ล้านคนในปี 2100

ซึ่ง SCB EIC ยกตัวอย่างโอกาสทางธุรกิจสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่น่าสนใจ เช่นอาหารที่มีรสชาติอร่อย แต่มีโภชนาการมที่เหมาะกับผู้สูงอายุ ย่อยง่าย กลืนง่าย เป็นต้น

3.Convenience Choices

เทรนด์ที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย ง่ายให้กับชีวิต โดยเทรนด์นี้เติบโตมาจาก

การเติบโตของสังคมเมือง

ผู้หญิงออกทำงานนอกบ้าน

ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ขยายสาขาไปอยู่ทุกมุมเมืองรองรับการเข้าถึงของผู้บริโภค

และ ขนาดครอบครัวเล็กลง และเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น คนแต่งงานช้าลง อยู่เป็นโสด แต่งงานไม่มี ทำให้แรงจูงใจในการทำอาหารน้อยลง และมองว่าการซื้อทานสะดวกกว่า

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้อาหารแช่เย็น แช่แข็ง อาหารพร้อมทาน (Ready to Eat) อาหารพร้อมปรุง (Ready to Cook) อาหารกระป๋อง และอาหารที่ให้บริการในรูปแบบ Grab and Go มีการเติบโตอย่างน่าสนใจ

นอกจากนี้อาหารในรูปแบบ Meat-kit delivery บริการจัดส่งชุดอาหารที่จัดเซ็ตสำเร็จรูปหรือ Ready to Cook ไปยังครอบครัวที่เป็นสมาชิก ตอบโจทย์ผู้คนไม่ต้องไปจ่ายตลาดเอง ไม่ต้องสต๊อกของสด ทำให้เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้การเติบโตอย่างมากในต่างประเทศ เพราะตอบโจทย์ความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่ม Urban Consumer และมีส่วนช่วยลด Food Waste อาหารที่ซื้อมาเก็บไว้ไม่เน่าเสียหายได้อีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันยังไม่เห็นบริการนี้ในไทย และคิดว่าอนาคตจะให้เห็นบริการเหล่านี้

4.Mindful Choices

การบริโภคอย่างมีสติ และมีความรับผิดชอบ เป็นหนึ่งเทรนด์หลักที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน จากการที่ผู้บริโภคมองเห็นอุตสาหกรรมผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ในฐานะเป็นตัวการในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ออกสู่ชั้นบรรยากาศมากกว่า 1 ใน 4 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดทั่วโลก และมีการใช้น้ำ 70% ของการใช้งานทั่วโลก

จากข้อมูลพบว่าผู้บริโภคทั่วโลกมากถึง 90% มีแนวโน้มเปลี่ยนไปเป็นลูกค้าของแบรนด์ที่แคร์ในสิ่งแวดล้อม

90% มีความไว้ใจบริษัทที่สนับสนุนประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

และ 88% มีความภักดีกับบริษัทที่สนับสนุนประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อม

โชติกายกตัวอย่างอาหารประเภท Plant-Based เป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ในเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม จากการใช้ทรัพยากรในกระบวนการผลิตที่น้อยกวา และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า

 

นอกจากนี้การปรับฉลากผลิตภัณฑ์ หรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยคาบอนไดออกไซด์ การใช้น้ำ มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของสินค้านั้นๆ หรือ Carbon Labels เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคมีความสนใจอ่าน ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องให้ความสำคัญมากขึ้น

จาก เทรนด์การกิน โลกที่ได้กล่าวมาก SCB EIC ยังแนะนำ 3 วิธีเอาตัวรอดของธุรกิจการกินในยุคดิจิทัลเอจดังนี้

1.การตลาดออนไลน์ผ่านช่องทาง Social Media ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นทางรอดในยุคดิจิทัล และจะทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในอนาคต

คนรุ่นใหม่เป็น Digital Citizen สินค้าแม้จะดีแต่ไม่ทำการตลาดออนไลน์ จะไม่ปังเท่าที่ควร

อ้างอิงจาก Q3/2023 ผู้บริโภคทั่วโลกใช้เวลากับอินเทอร์เน็ตมากถึง 6.4 ชั่วโมงต่อวัน และเทรนด์จะโตขึ้นเป็น 8 ชั่วโมงในอนาคต

การตลาดออนไลน์จึงเป็นสิ่งสำคัญ

โชติกาให้ข้อมูลว่ากว่า 40% ของผู้บริโภคในปัจจุบัน รู้จักผลิตภัณฑ์อาหารจาก Digital Media และโลกออนไลน์

การทำดิจิทัลคอนเทนต์ เซิร์ซเอนจิ้ง และอื่นๆ เป็นการกระตุ้นให้ผู้บริโภครู้จักในสินค้า

ส่วนในประเทศไทยคนไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ต 61.21 ล้านคน และ 52.25 ล้านคนเป็น Social Media Active User สถิติเหล่านี้เป็นสิ่งที่แบรนด์ต้อง Aware เพื่อปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จักและขายดียิ่งขึ้น

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้การสื่อสารการตลาดผ่าน Influencer Marketing เป็นกลยุทธ์การตลาดที่สำคัญในปัจจุบันโดยเฉพาะการสื่อสารผ่าน Influencer ไปยัง Social Media ต่างๆ

นอกจากนี้ Online Purchase and Delivery Platform ยังเป็นช่องทางในการเข้าถึงลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการขายได้อีกด้วย มีแพลตฟอร์มใหม่ๆ เติบโตยิ่งขึ้น เช่นการสั่งอาหารผ่านสมาร์ทโฟน สมาร์ทวอช การสั่งอาหารผ่านรถยนต์ รวมถึงการจ่ายเงินค่าอาหาร และการส่งอาหาร เช่นการใช้ร่มชูชีพในการส่งอาหาร

รวมถึงบิ๊กดาต้าเป็นสิ่งสำคัญใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และเส้นทางการส่งของถึงผู้บริโภคให้เร็วที่สุด

2.เทคโนโลยี Blockchain เป็นหนึ่งในเครืองมือที่ช่วยตอบโจทย์ในเรื่อง Food Safety และช่วยให้การบริหาร จัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) มีความโปร่งใส ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง สามารถให้ข้อมูลได้ว่ากาแฟ 1 แก้ว ผลิตจากไหน และผ่านกรรมวิธีอะไรก่อนถึงมือผู้บริโภค เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

อย่างเช่น IBM จับมือกับ 10 บริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น ยูนิลิเวอร์, เนสท์เล่, Dole, Walmart, Tyson นำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้เพิ่ม Visibility and  Traceability ของสินค้าอาหาร และตอบโจทย์เรื่อง Food Traceability

 

3.AI ช่วยให้การทำงานในฟาร์ม และการบริหารจัดการในโรงงานแปรรูปอาหารถูกสุขอนามัย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังลดข้อผิดพลาด ลดต้นทุน ประหยัดเวลา เช่นการใช้ AI เก็บมันฝรั่งในฟาร์ม โดยเทรนด์ AI ว่ามันฝรั่งรูปทรงไหนเหมาะกับอะไร เมื่อ AI เจอมันฝรั่งจะเลือกเก็บตามการใช้งาน

หรือ AI ช่วยตรวจจับด้านความสะอาด พนักงาน และอื่นๆ ในรูปแบบศซูเปอร์ไวเซอร์ เป็นต้น

4.LAB-GROWN FOOD หรือเนื้อสัตว์เทียม เป็นเซ็กเมนต์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากกระบวนการผลิตที่ไม่ทำร้ายโลก และคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ ตอบโจทย์กลุ่ม Green Consumers

ปี 2016 จำนวนผู้ประกอบการมีไม่มาก และเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปัจจุบัน เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในธุรกิจอาหาร

5.3D Food Printing กำลังค่อยๆ มา Disrupt อุตสาหกรรมอาหาร เช่น การเปิดบูธพริ้นต์ออริโอ้ ให้ผู้บริโภคสามารถเลือกได้เลยว่าต้องการโอริโอ้แบบไหน และสามารถพริ้นต์เสิร์ฟได้เลยภายใน 2 นาที ร้านอาหารที่พริ้นต์พาสต้าออกมา สะดวกสบายไม่ต้องนวด Hershey นำCocoJet3D มาพรินต์ผลงานช็อตโกแลต Hershey ที่ออกแบบเอง เป็นต้น

 

3D Food Printing ยังมา Disrupt ร้านอาหารมีการใช้เครื่องพิมพ์สามมิติมากขึ้น

ในการทำอหารและตกแต่งในรูปทรงต่างๆ ที่สร้างประสบการณ์การทานใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค

อนาคตมาถึงแล้ว จะทำอะไรเดิมๆ อาจจะไม่ประสบความสำเร็จอีกต่อไป เราต้องกล้าที่จะ Disrupt เพื่อก้าวต่อไปในอนาคต

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer