Trend : ความที่เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความเป็นไปต่าง ๆ ของโลกยุคนี้ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ Gen Z ที่มีอายุระหว่าง 12-27 ปี จึงน่าสนใจไปหมด

ขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้บรรดาคนรุ่นเกิดก่อนและมีช่องว่างระหว่างวัยชัดเจน อย่าง Gen X ที่อายุระหว่าง 44-59 ปี กับ Babyboom ที่อายุระหว่าง 60-78 ปี ต้องหันมาทำความเข้าใจ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น
Gen Z มีลักษณะที่ต่างกับ Gen X กับ Babyboom หลาย ๆ ด้าน เช่น ไม่เห็นความจำเป็นของการรอ เพราะเกิดมาในยุคที่ได้ทุกอย่างมาเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส

ไม่สังสรรค์หลังเลิกงานหรือถ้าสังสรรค์ก็ไม่ดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เพราะรักสุขภาพ เงินเดือนยังไม่มาก และไม่อยากมีภาพเสีย ๆ หาย ๆ ไปปรากฏในสื่อออนไลน์
จนถูก Gen X กับ Babyboom ตีความผิด ๆ และมองในแง่ลบหรือถึงขั้นตีตราว่า ใจร้อนและเก็บตัวเกินไป

ทว่าการเป็นคนรุ่นแรกที่เกิดและโตมากับอุปกรณ์ดิจิทัล (Digital Native) จนใช้ได้คล่องแบบแทบไม่ต้องพยายามเลย ก็ทำให้ Gen Z โหยหาสิ่งที่สัมผัสจับต้องได้มากกว่าคนรุ่นก่อน ๆ จนมีส่วนสำคัญให้บรรดาของตกยุคต่าง ๆ
เช่น เทปเพลงและแผ่นเสียงคืนชีพ ในยุคที่การฟังเพลงผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลและสื่อสตรีมมิ่งคือช่องทางหลัก

ส่วนหนอนหนังสือ Gen Z ก็พากันมาแนะนำหนังสือผ่าน Tiktok จนเกิดเป็นเทรนด์ Booktokker ช่วยดันยอดขายหนังสือในยุโรป ทั้งการอ่านผ่าน E-book สะดวกกว่า
ล่าสุด Gen Z ยังทำให้เกิดอีกเทรนด์ในการอ่านขึ้นมา และไม่น่าเชื่อว่าความสนใจดังกล่าวจะแซงหน้าบรรดาคนรุ่นอารุ่นพ่อซึ่งคุ้นเคยกับคลังความรู้รุ่นเก่ามากกว่า

พฤศจิกายนที่ผ่านมา สมาคมห้องสมุดสหรัฐฯ (ALA) ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 2,075 คน เรื่องการเข้าห้องสมุดตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา ทั้งเข้าไปจริง ๆ และหรือผ่านทางออนไลน์
ปรากฏว่ากว่า 43% ของ Gen Z และ Gen Y (อายุระหว่าง 28 – 43 ปี) ตอบว่าเข้าห้องสมุด
และในกลุ่มนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นหนอนหนังสือ ชาวอเมริกัน-แอฟริกัน และชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ขณะเดียวกันการเข้าห้องสมุดของ Gen Z ตลอดกรอบเวลาดังกล่าว ยังแซงหน้า Gen X และ Babyboomer อีกด้วย

เทรนด์การหลงใหลห้องสมุดของ Gen Z ในสหรัฐฯ ยังทำให้เกิดการรวมตัวไปยุโรปเพื่อไปยัง Open Blibliotheek ห้องสมุดในเนเธอร์แลนด์ที่ใหญ่สุดในยุโรป และวัยรุ่นบางคนยังสมัครไปเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์อีกด้วย

นอกจากนิสัยรักการอ่าน และโหยหาของที่จับต้องได้ในยุคที่แทบทุกอย่างเป็นดิจิทัลไปหมดแล้ว เทรนด์ดังกล่าว ยังมีที่มาจากการอยากได้ สถานที่แห่งที่ 3 (Third Place) นอกเหนือจากบ้านและโรงเรียนหรือบริษัท ซึ่งสามารถใช้เวลาอยู่นาน ๆ ได้
ประกอบกับอยากได้ สถานที่สงบ ๆ ไว้อ่านหนังสือ พบปะพูดคุย หรือทำงาน แบบเงียบ ๆ เพื่อพักจากโลกออนไลน์ที่มีการเตือนรบกวนสมาธิ

แต่ขณะเดียวกันก็เห็นว่าร้านกาแฟที่ควรสงบก็ลูกค้าแน่นร้านจนไม่ใช่ Third Place เหมือนเคยอีกต่อไป
อีกสาเหตุที่ทำให้จำนวนเทรนด์ Gen Z ไปห้องสมุดเพิ่มขึ้น ยังมาจากการชีวิตส่วนใหญ่ตลอดเกือบ 4 ปีที่ผ่านมาต้องอยู่กับบ้านเพราะสถานการณ์โควิดจนเกิดความอึดอัด

และพอเข้าสู่วัยทำงาน ก็ทำงานแบบเข้าบริษัทสลับกับทำงานอยู่บ้าน (Hybrid Workspace) จนเส้นแบ่งทำงานกับชีวิตส่วนตัวแทบมองไม่เห็น
The Guardian สื่อเก่าแก่ของอังกฤษที่นำเรื่องนี้มาตีแผ่ ทิ้งท้ายว่า เทรนด์นี้น่าจะอยู่ไปอีกพักใหญ่และมีโอกาสโตได้อีก
เพราะ Gen Z มองว่า การเข้าห้องสมุดถือเป็นการเข้าสังคมรูปแบบหนึ่ง ไม่มีใครมาวิจารณ์กันเหมือนในโลกออนไลน์หรือพื้นปลอดภัย (Safe Zone)
และยังเป็นโอกาสให้หาข้อมูลผ่านคลังความรู้ย้อนยุค ซึ่งข้อมูลบางอย่างไม่มีในโลกออนไลน์ ♦/theguardian
–
