เดินทางมาเกินครึ่งเรื่องแล้วสำหรับซีรีส์ “Doctor Slump” ผลงานจากช่อง JTBC ที่ฉายบนเน็ตฟลิกซ์ กระแสดีตั้งแต่ฉายสองสัปดาห์แรก และยังรักษาฐานผู้ชมไว้ได้อย่างต่อเนื่อง นำโดยนักแสดงระดับแม่เหล็ก ‘พัคชินฮเย และพัคฮยองชิก’ ทำเรตติ้งเฉลี่ย 6.8% 

แม้ชื่อเรื่องบอกเด่นชัดแต่ไม่ใช่แนวการแพทย์ที่มีฉากผ่าตัดโผล่มาทุกสองนาทีตามสไตล์ซีรีส์เกาหลี เรื่องนี้ออกไปในแนวโรแมนติกดราม่า บอกเล่าชีวิตของเด็กหัวกะทิสองคนที่เป็นคู่แข่งวัยเรียน แล้วโตมาเป็นหมอตามสูตรคนเรียนเก่ง สุดท้ายกลับวนมาเจอกันในวันที่หัวใจเต็มไปด้วยบาดแผล

เด็กที่ทั้งชีวิตทำอยู่อย่างเดียวคือเรียนหนังสือ จะรับมือกับโลกที่โหดร้ายอย่างไร 

ใครที่อยากพักจากซีรีส์แอคชัน สืบสวน เส้นเรื่องหนัก ที่โหมมาตั้งแต่ต้นปี แวะไปชมเรื่องนี้เพื่อหยุดพักจากเรื่องหนัก ๆ ไปพร้อมกับตัวละครก่อนได้ 

 

ชวนถอดบทเรียนจากซีรีส์

 ชีวิตเหมือนหีบสมบัติ

ถึงว่างเปล่าก็อยากจะเปิดดูด้วยตาตัวเอง ใน EP.2  ตอนหนึ่งฮานึลกล่าวว่า “ต่อให้รู้ว่ามันว่างเปล่าก็เถอะ แต่ก็อยากเปิดดูด้วยตนเอง” หมายความว่า สิ่งที่เธอคิดว่าชีวิตในอนาคตจะราบรื่นงดงาม แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น และถึงต่อให้รู้ว่าจะลงเอยเช่นนี้ ก็ยังอยากจะหาคำตอบด้วยตัวเองอยู่ดี  

เธอตั้งหน้าตั้งตาเรียนเพียงอย่างเดียวมาโดยตลอด สังเกตจากตอนไปร้องคาราโอเกะ ฮานึลไม่รู้จักเพลงเคป๊อปเลย เพราะเธอใช้ชีวิตวัยรุ่นหมดไปกับการเรียนเพียงอย่างเดียว   

ในชีวิตมนุษย์ สิ่งที่ไม่สามารถเรียกคืนได้ คือ คำพูด เวลา และวัยเยาว์ การทุ่มเทกับการเรียนก็สำคัญ แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่สำคัญพอ ๆ กับวิชาการ คือวิชาเข้าสังคม ชีวิตวัยรุ่นควรต้องผ่อนคลาย เรียนรู้การเข้าสังคม เรียนรู้ธรรมเนียม การปฏิบัติต่อผู้อื่นบ้าง เพราะเมื่อโตขึ้นเราต้องทำงานร่วมกับบุคคลอื่นเสมอ อย่ามัวมุ่งเปิดหีบสมบัติของตัวเองอย่างเดียว บาลานซ์ชีวิตไปกับการเล่นสนุกบ้างก็ได้

 

ทำอย่างไรให้หัวใจไม่มอดไหม้ 

รู้จัก “Boundaries  in Relationships” หรือการกั้นรั้วหัวใจ ไม่ให้ใครเลยเขตเข้ามาทำลาย จนตัวเรามอดไหม้เหมือนกับชื่อซีรีส์  

จะเห็นว่าหลายต่อหลายซีน ไล่ไปตั้งแต่ครอบครัว ที่ชอบตั้งความหวังไว้กับเด็กทั้งสอง และพวกเขาก็เดินตามเส้นทางนั้นเพื่อให้ครอบครัวภูมิใจ ฮานึลถึงกับยอมไม่กินข้าวเพื่อที่จะได้มีเวลาอ่านหนังสือเพิ่ม ส่วนจองอูก็อดหลับอดนอนเพื่อทำคะแนนสอบออกมาให้ดี  แข่งขันกับคนอื่นอยู่ตลอด จนโตมาแบบใช้ชีวิตเหมือนวิ่งตามถ้วยรางวัลทุกวัน  รู้ตัวอีกทีหัวใจก็ถูกกัดกร่อนจนเว้าแหว่งแล้ว

เมื่อใดที่เรายอมให้คนอื่นย่างกรายเข้ามาในเขตปลอดภัย  เมื่อนั้นเราจะไขว้เขวไปตามคำวิจารณ์ของคนนอก

ซีนหนึ่งที่สื่อความออกมาอย่างเด่นชัด คือ ตอนที่เพื่อนของแม่ฮานึลพูดว่า “เป็นเพราะฮานึลไม่เก่ง เลยโดนไล่ออกจากโรงพยาบาล” ฮานึลรู้ดีว่าความจริงไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเธอเพียงโชคไม่ดีเจอหัวหน้าใจร้ายก็เท่านั้น แต่ด้วยความที่ฮานึลปล่อยให้คนอื่นข้ามเขตมาทำร้ายเสมอมา หัวใจถูกทำลายโดยไม่รู้ตัวมาตลอดจนบอบช้ำ จึงเผลอรู้สึกแย่ไปตามคำพูดของคุณน้า แม้จะรู้ดีว่าตนเองไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ตาม 

ดังนั้น เราจึงควรกั้นรั้วหัวใจ ปกป้องตัวเองตั้งแต่หน้าด่าน เพื่อไม่ให้คำพูดรวมถึงการกระทำรุนแรงจากคนอื่นเลยเขตมาสร้างความเสียหายต่อจิตใจของเราได้ง่าย ๆ 

 

อย่าข้ามเขตมานะ

 

คนเราลุกเพื่อล้ม

ต่อให้เคยล้มมา 100 ครั้ง ก็ไม่ได้แย่ เพราะนั่นแปลว่าคุณลุกขึ้นมาได้ทั้ง 100 ครั้ง 

คนเราล้มได้ทุกเมื่อ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะลุกได้ทุกเมื่อ

การมาพบกันของคน ที่ต่างคนต่างโดนชีวิตเล่นงานอย่างสะบักสะบอม เพื่อเน้นย้ำภาพชีวิตสุดเละเทะให้แจ่มชัดขึ้น

ให้ผู้ชมอย่างเรา ๆ ลุ้นเอาใจช่วยว่าเมื่อไหร่ชีวิตของตัวละครจะกลับเข้าที่เข้าทาง  

จองอู และ ฮานึล ยังเป็นเหมือนตัวแทนของคนที่ชีวิตไม่เป็นดั่งหวัง ซึ่งรีเลตกับใครหลายคนบนโลกความเป็นจริง  

ซีนหนึ่งใน Ep.4 ที่พระนางตั้งใจไปชมพระอาทิตย์ขึ้น แต่ดันเป็นวันที่ฝนตั้งเค้า เมฆหนา บดบังแสงพระอาทิตย์ ฮานึลเลยพูดขึ้นมาว่า “วันนี้พระอาทิตย์ไม่ขึ้นมาให้เห็น แต่พรุ่งนี้จะต้องขึ้นแน่”  

 แปลได้ว่า เธอยังเชื่อเสมอว่า ชีวิตของเธออย่างไรก็จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน

 

เราทุกคน คือ ดอกซากุระ

–นัยที่แฝงอยู่ในฉากเปิด–

.

และสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ คือฉากเปิด Ep.1 ที่จองอู กับ ฮานึล ในวัยมัธยมปลายกำลังเดินเข้าโรงเรียน โดยมีฉากหลังเป็นต้นดอกซากุระ หรือภาษาเกาหลี เรียกว่า ดอกพ็อดกด (벚꽃) และจองอูได้พูดขึ้นว่า “ในวัยนั้น ผมคิดว่าทุกอย่างจะราบรื่นตลอดไป ถ้าทุ่มเทสุดกำลังอย่างที่เคยทำมา”  ฮานึลเองก็ไม่ต่างกัน เธอบอกว่า “ในวัยนั้น ฉันคิดว่าแค่ต้องมองตรงไปข้างหน้าและไม่หยุดนิ่ง”

แต่ทว่า ชีวิตไม่เป็นอย่างที่เราคาดไว้หรอก

และนั่นคือความหมายว่า . . . เรา คือ ดอกซากุระ 

เกาหลีมีคำกล่าวที่ว่า “화양연화” อ่านว่า hwa-yang-yeon-hwa แปลว่า “The Most Beautiful Moment In Life” เวลาที่เราจะเปล่งประกายอย่างงดงามที่สุด

ซีนที่ตัวละครวิ่งแข่งกันวิ่งไปตามถนนที่ซากุระสีชมพูกำลังบานสะพรั่งไปตลอดเส้นทาง ตีความได้ว่า  เด็กนักเรียนหัวกะทิสองคน ที่กำลังออกแรงวิ่งผลัดกันแซงหน้า กับทัศนคติใสซื่อในแบบเด็ก ม.ปลาย ที่คิดว่าแค่ใส่เต็มแรง ทุกอย่างก็จะเป็นไปอย่างที่คิด 

แต่ชีวิตไม่ง่ายขนาดนั้น

ในวันที่พวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ กลับไม่เป็นดั่งวาดฝัน ทั้งถูกกลั่นแกล้งในที่ทำงาน โดนเพื่อนปอกลอก สาดสีใส่ความ  ความกดดันที่ถาโถม จนเป็นโรคซึมเศร้า ใครเลยจะรู้ว่านี่จะเป็นชีวิตของเด็กนักเรียนระดับประเทศในอีกสิบปีต่อมา

แต่ไม่แปลกอะไร  เพราะอย่างนี้ถึงเรียกว่า “ชีวิต” 

เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต 

 

จะในวันที่แดดจ้า ลม ฟ้าสดใส

หรือวันที่ท้องฟ้าไม่เป็นใจ พายุกระหน่ำซัดสาด 

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยืนหยัด  ผ่านคืนวันเหล่านั้นไปให้ได้

เหมือนกับที่ ดอกซากุระ พยายามพาตัวเองผ่านฤดูหนาว ท่ามกลางหิมะตก ลมแรง

อดทนรอจนถึงวันที่ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน เพื่อเปล่งประกายอย่างงดงาม 

หากคืนวันอันเหน็บหนาวไม่สามารถหยุดยั้ง การเบ่งบานของดอกซากุระได้

วันคืนอันโหดร้ายก็ไม่สามารถหยุดมนุษย์จากการงอกเงยอย่างงดงามได้เช่นกัน 

 

โปรดรอเวลาที่ ‘ฤดูใบไม้ผลิ ของ ชีวิต’ วนมาเยือน




 

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer