อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีที่ผ่านมา เป็นปีแรกที่สัดส่วนคนดูภาพยนตร์ไทยแซงหน้าจำนวนคนดูภาพยนตร์ฮอลลีวูด 55% : 45% โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายของปี ภาพยนตร์ไทยสามเรื่องทำรายได้รวมเกินกว่าพันล้านบาท หรือคิดเป็นจำนวนบัตรชมภาพยนตร์กว่า 10 ล้านใบ

คุณสุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร M Studio เปิดเผยว่า ปรากฏการณ์ภาพยนตร์ไทยกวาดรายได้ในประเทศมากกว่าร้อยล้านบาท  หนึ่งในนั้นคือ ธี่หยด จากความร่วมมือระหว่าง M Studio และช่อง 3 กวาดรายได้ทั่วประเทศ 500 ล้านบาท และยังสร้างสถิติใหม่แก่วงการภาพยนตร์ไทย

ธี่หยดกลายเป็นหนังทำรายได้เปิดตัวสูงสุดของปี 2566 พร้อมทั้งเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำเงินร้อยล้านเร็วที่สุดแห่งปีภายสามวัน และภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ฉายในระบบ IMAX DMR ที่มียอดคนดูเปิดตัวสูงกว่าหนังฮอลลีวูดทุกเรื่องที่เข้าฉายในช่วงนั้น พร้อมทั้งนำออกฉายใน 25 ประเทศ โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามทำรายได้เกิน 70 ล้านบาท ขณะที่ไต้หวัน 27 ล้านบาท เป็นภาพยนตร์ไทยที่มีรายได้สูงสุดในต่างประเทศ

คุณเทรซี แอนน์ มาลีนนท์ ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่ม บมจ. บีอีซี เวิลด์ กล่าวว่า ในปี 2567 M Studio และช่อง 3 ร่วมลงทุนผลิตภาพยนตร์ไทยเสิร์ฟผู้ชมต่อเนื่อง 2 เรื่อง คือ “ธี่หยด” และ “มานะแมน” และอยู่ในระหว่างดำเนินการเตรียมผลิต 4-5 เรื่อง

การร่วมมือกับ M Studio ในครั้งนี้เป็นหนึ่งในแผนงานลุยธุรกิจน่านน้ำใหม่ของบีอีซี เวิลด์ เพื่อเปลี่ยนจากการเป็นช่องทีวีดิจิทัลสู่ฐานะคอนเทนต์โพรวายเดอร์

ย้อนหลังไปเมื่อหลายสิบปี ต่อปีจะมีภาพยนตร์เข้าฉายในโรงรวม 200-300 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นภาพยนตร์ต่างประเทศ มีภาพยนตร์ไทยจำนวน 50 เรื่อง มาร์เก็ตแชร์คอนเทนต์ไทยอยู่ที่ราว 20% ขณะที่ฮอลลีวูดมากถึง 80%

ความสำเร็จของหนังไทยในปัจจุบันที่เริ่มมีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น ด้วยคุณภาพที่ถูกยกระดับ ได้รับการยอมรับในต่างประเทศ ทำให้สัดส่วนของภาพยนตร์โลคอลในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งโดยปกติประเทศที่มีความโดดเด่นของอุตสาหกรรมภาพยนตร์จะมีจำนวนหนังโลคอลมากกว่าต่างประเทศนับร้อยเรื่อง

การขยายตัวของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย เมื่อวัดจากมาร์เก็ตแชร์ของหนังไทยในตลาดที่นำหน้าฮอลลีวูด และได้รับการยอมรับในต่างประเทศ กำลังพาวงการภาพยนตร์ไทยยกระดับไปสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า “Thollywood” ได้อย่างเต็มรูปแบบ

หนังไทยใช้กลยุทธ์แฟรนไชส์

สังเกตว่าหนังไทยจะเริ่มมีความเป็นแฟรนไชส์มากขึ้น คือ ต่อยอดเป็นภาค ตัวอย่าง เรื่อง 4 kings, พี่มาก, หอแต๋วแตก รวมถึงธี่หยด ได้ใช้กลยุทธ์แตกไลน์เรื่องด้วยคาแรกเตอร์เด่น ๆ ในหนัง มาเล่าในอีกแง่มุม เป็นวิธีสร้างการติดตามที่ช่วยให้หนังที่ผลิตมีฐานผู้ชมรองรับ

อย่างไรก็ตาม การมาถึงของสตรีมมิ่งไม่กระทบกับโรงภาพยนตร์ ช่วยมาสนับสนุนช่องโหว่ของธุรกิจโรงภาพยนตร์ด้วยซ้ำ เช่น เมื่อผู้ชมรับชมภาพยนตร์ภาคแรกไม่ทัน ก่อนจะไปชมภาพยนตร์ภาคต่อในโรง ก็สามารถดูภาคแรกในสตรีมมิ่งก่อนได้ การรับชมภาพยนตร์ในโรงเน้นมอบประสบการณ์ อรรถรส ความเต็มอิ่มในบรรยากาศแวดล้อม ที่สตรีมมิ่งอาจให้ไม่ได้ แม้สตรีมมิ่งจะเข้ามาแต่ธุรกิจโรงภาพยนตร์ยังคงเติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด

“ธุรกิจภาพยนตร์อาจไม่ได้ขึ้นตรงกับเศรษฐกิจ แม้กำลังซื้อของผู้ชมตก แต่ไม่กระทบกับรายได้ภาพยนตร์ เนื่องจากการชมภาพยนตร์คือเอนเตอร์เทนเมนต์ที่ถูกที่สุดที่ผู้ชมเข้าถึงได้” คุณสุรเชษฐ์ กล่าว

ภาพยนตร์ไทยกำลังเข้าสู่ยุคทอง

ในอดีตภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จจะมีแพตเทิร์นซ้ำ ๆ กัน คือ แนวสยองขวัญ แต่ในปัจจุบันคนไทยเปิดใจรับคอนเทนต์หลากหลายแนวมากขึ้น เห็นได้จากปีที่แล้ว คอนเทนต์โลคอลที่ประสบความสำเร็จมีเซกเมนต์ที่หลากหลาย เป็นก้าวที่ดีของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ในการชูภาพของ “Thollywood” ได้เห็นภาพยนตร์ไทยในสเกลใหญ่ขึ้น โปรดักชันคุณภาพ เทียบเท่าผลงานภาพยนตร์ต่างประเทศ

หนังเรื่องหนึ่งไม่เพียงสร้างรายได้คืนกลับแก่ผู้สร้างเท่านั้น แต่คือตัวกลางในการสื่อสารศิลปวัฒนธรรม รูปแบบความเป็นไทย การท่องเที่ยว สินค้าและบริการที่ติดไปกับเนื้อหา ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

และล่าสุดคุณสุรเชษฐ์เปิดเผยว่า M Studio มีแผนร่วมงานกับฮอลลีวูด เป็น co-production รีเมคภาพยนตร์ดัง โดยจะเผยรายละเอียดให้ได้รับทราบเร็ว ๆ นี้


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer