เป็นเวลาหนึ่งปีนับจากวันที่ 8 มีนาคม 2566 ในการควบรวมระหว่างทรู ดีแทค เป็นบริษัทใหม่ที่ชื่อ ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
จากการควบรวมของทั้งสองบริษัท ในวันนี้ ทรูและดีแทค ภายใต้ ทรู คอร์ปอเรชั่น มีลูกค้ามือถือรวมกัน 51.9 ล้านคน มีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น 5 แสนราย
และมีลูกค้าที่ใช้งานเครือข่าย 5G จำนวน 10.5 ล้านราย
ลูกค้าบรอดแบนด์ทรูออนไลน์ 3.8 ล้านราย
ลูกค้าทรูวิชั่นส์ 3.4 ล้านราย
และมีรายได้ในปีที่ผ่านมาทั้งสิ้น 202,765 ล้านบาท ขาดทุน 15,689 ล้านบาท
แม้ในปีที่ผ่านมา ทรู คอร์ปอเรชั่น จะขาดทุนมากถึง 15,689 ล้านบาท แต่มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร ให้ข้อมูลว่า ในมุมของ EBITDA (Earnings Before Interest, Tax, Depreciation, and Amortization) หรือกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย มีการเติบโตต่อเนื่องตลอด 4 ไตรมาสที่ผ่านมา
ถ้ามองทั้งปี 2566 EBITDA เติบโต 3.6%
ส่วนปี 2567 เชื่อมั่นว่าจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้
สิ่งที่ทำให้มนัสส์มั่นใจเช่นนั้น มาจากการผลักดันการเติบโตผ่านแนวทางดังนี้
1. เดินหน้าสู่ Thailand Leader Telco-Tech Company
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาหลังควบรวม ทรู คอร์ปอเรชั่น ปรับโครงสร้างภายใน เพื่อพาตัวเองทรานส์ฟอร์มสร้างการเติบโต และสร้าง Value Creation เข้าสู่ Ecosystem ของ Telco-Tech
และทรู คอร์ปอเรชั่นต้องการเป็น Thailand Leader Telco-Tech Company จากการมองเห็นโอกาสของการเติบโตอย่างแข็งแรงทั้ง 5G, บรอดแบนด์ และดิจิทัลเซอร์วิส ที่มีการเติบโตด้านการใช้งาน
มนัสส์ ให้ข้อมูลว่า การเห็นโอกาสสู่ Thailand Leader Telco-Tech Company มาจาก
ในปีที่ผ่านมาการใช้งาน 5G ของประเทศต่าง ๆ เช่น เกาหลีมีสัดส่วนมากถึง 45% และ ญี่ปุ่น 26% ส่วนไทย 20% ซึ่งมีโอกาสในการขับเคลื่อนการเติบโตอีกมาก
และทรู คอร์ปอเรชั่นวางเป้าหมายว่าจะพัฒนา 5G ให้ครอบคลุมการใช้งานถึง 99% ภายในปี 2573
นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมี Broadband Penetration เพียง 54% จากครัวเรือนทั้งหมด
และการสร้าง Ecosystem ของ 5G, บรอดแบนด์ และอื่น ๆ เป็นการสร้างความสะดวกสบายให้กับการทำงาน การค้าขายได้มากขึ้น และเป็นตลาดที่เชื่อว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
สิ่งที่เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นถึงโอกาสดังกล่าวมาจากการใช้งานดิจิทัล เซอร์วิส ของคนไทยที่เพิ่มสูงขึ้น
จาก มกราคม ปี 2566 มีการใช้งานดิจิทัล เซอร์วิส ทั้งความบันเทิง การจ่ายเงิน และอื่น ๆ เฉลี่ย 4.40 ชั่วโมงต่อคนต่อวัน
เติบโตเป็น 5.38 ชั่วโมงต่อวัน ในเดือนมกราคม ปี 2566
และเชื่อว่าจากนี้เป็นต้นไปจะมีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งทรู คอร์ปอเรชั่น จะเป็น Connectivity ให้กับผู้บริโภคใช้งานด้านดิจิทัลทั้งมีสายและไร้สายเป็นอย่างดี

2. ให้ความสำคัญกับ AI
มนัสส์มองว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงโลก และมีบทบาทกับสังคมไทยเป็นอย่างมาก ในฐานะเทคโนโลยีที่สร้างการเปลี่ยนแปลง Productivity และช่วยเรื่องการลดโลกร้อนที่เป็นปัญหาระดับโลก
และการให้ความสำคัญกับ AI ของทรู คอร์ปอเรชั่น จะเข้ามาตอบโจทย์กลยุทธ์ทางธุรกิจ สู่ผู้นำทั้ง 3 ด้านได้แก่
– World Class Customer Experience
ใช้ AI เป็นเครื่องมือซัปพอร์ต ช่วยเหลือ ดูแล ลูกค้า
อย่างเช่น ทรู คอร์ปอเรชั่น มี AI ที่ชื่อ มะลิ ที่พัฒนาสู่ Gen2 เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาให้กับลูกค้ารายบุคคลแบบเรียลไทม์
และการนำ AI มาช่วยในด้านการสร้างสิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าเป็นรายบุคคล
– Digital Growth Champion
สร้าง Ecosystem ที่แข็งแรง พร้อมขยายเครือข่ายให้ทันสมัย หรือ Network Modernizing จาก 2,400 เสาในปีที่ผ่านมา เป็น 10,000 เสาในปีนี้ และคุณภาพสัญญาณทั้งประเทศที่เหนือคู่แข่ง เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีการรวมแอปที่มีอยู่ทั้งหมด 9 แอป เป็น Super App เพียงแอปเดียว เพิ่มความสะดวกให้กับพาร์ตเนอร์และลูกค้าอีกด้วย การรวมเป็น Super App ในส่วนของลูกค้าจะเห็นในไตรมาสสามของปีนี้
โดยทั้งหมดนี้มี AI เป็นเครื่องมือเชื่อมต่อสร้างประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้า
– Future-Ready Performance
สร้างการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร มีการรีสกิลและอัปสกิลทีมงานให้มีความสามารถในการใช้งาน สร้าง Digital Citizen ในองค์กร จากปัจจุบันที่สร้างแล้วทั้งสิ้น 2,400 คน เป็น 5,000 คนในปีนี้ และใช้ AI เข้ามาสนับสนุนในกระบวนการทำงาน
และอำนวยความสะดวกให้กับทีมงานนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ตอบสนองลูกค้าได้เร็วขึ้น
โดยในปี 2570 คาดการณ์ทุกกระบวนการทำงาน การดูแลลูกค้าผ่าน Automation ได้ 100%
3. ยังคงทำธุรกิจภายใต้ 2 แบรนด์ ทรู และดีแทค
ตามกำหนดของ กสทช. ทรู และดีแทค ยังคงต้องทำตลาดผ่านแบรนด์ทั้งคู่อย่างน้อย 3 ปี และหลังจาก 3 ปีหลังควบรวมบริษัทเป็นทางการแบรนด์ทรู และดีแทคอาจจะทำตลาดแยกแบรนด์กันต่อไป หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงได้
ซึ่งในปัจจุบันได้ทำตามข้อกำหนดมาแล้ว 1 ปี
ส่วนหลังจากครบกำหนดของ กสทช. มนัสส์กล่าวว่ายังคงไม่มีข้อสรุปสำหรับเรื่องนี้
ทั้งนี้ในปีนี้ทรู คอร์ปอเรชั่น จะใช้งบลงทุน 30,000 ล้านบาท ในการพัฒนาเครือข่าย และอื่น ๆ เพื่อสร้างเครือข่าย และบริการเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งอย่างเอไอเอส อย่างต่อเนื่อง
เพราะมนัสส์มองว่าแม้ธุรกิจนี้จะมีคู่แข่งเพียงสองราย คือทรู คอร์ปอเรชั่น และเอไอเอส แต่การแข่งขันก็ยังมีอยู่ต่อไป
อย่างไรก็ดี เมื่อมองไปที่เอไอเอส คู่แข่งของทรู คอร์ปอเรชั่น ในปีที่ผ่านมา มีรายได้ 188,873 ล้านบาท กำไร 29,086 ล้านบาท EBITDA ไม่รวม 3BB เติบโต 4.1% ในปีที่ผ่านมา และรวม 3BB เติบโต 3%
มีฐานลูกค้ามือถือรวมกัน 51.89 ล้านคน ลดลงจากปีที่ผ่านมา 1.4 ล้านคน
ลูกค้ามือถือทั้งหมดเป็นลูกค้าที่ใช้งาน 5G จำนวน 9.2 ล้านคน
ลูกค้าบรอดแบนด์รวมกัน 4.72 ล้านคน
พร้อมกลยุทธ์พาตัวเองสู่ Cognitive Telco ที่นำ AI มาประยุกต์ใช้กับการให้บริการในด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี สร้างความประทับใจกับลูกค้า ในรูปแบบรายบุคคล
รวมถึงลงทุนด้านเครือข่าย จับมือพาร์ตเนอร์ให้บริการสร้างความแข็งแกร่งในรูปแบบ Economic Ecosystem และสร้างความยั่งยืนทั้งโลกและคน
–
