เศรษฐกิจจีน ตั้งเป้าโต 5% คำถามคือ โตจากอะไรและด้วยวิธีใด

ปี 2024 เป็นอีกปีที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับที่ “ท้าทาย” เรียกได้ว่าพวกเขาท้าทายตัวเองด้วยการตั้งเป้าที่จะพาพญามังกรบินสูงด้วยเป้า GDP ของประเทศต้องโตให้ได้อย่างน้อย 5% 

เพราะเมื่อปีที่แล้วพวกเขาสามารถพิชิตเป้าหมายของตัวเองในการเติบโตได้ที่ 5.2% ซึ่งปีนี้ดูเหมือนว่าจะแตกต่างออกไปเพราะจากคำพูด สีหน้า และท่าทางของนายรัฐมนตรีจีน ผู้ที่ต้องรับงานไปปฏิบัติดูเหมือนเขาจะรู้อยู่เต็มอกว่า การพาจีนบรรลุเป้าหมายที่ 5% ไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจจะเหมือนการเข็นครกขึ้นภูเขาได้เลย

เพราะจีนเต็มไปด้วยปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อมั่นของประชาชนในแง่การบริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวดี เรื่องปัญหาหนี้ที่อยู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เรื่องปัญหาความขัดแย้งในระดับภูมิภาค รวมถึงปัญหาความสัมพันธ์กับชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และพันธมิตรอย่างกลุ่มประเทศตะวันตก ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็คงมีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้จีนไปไม่ถึงฝันในปลายปี 2024 ก็เป็นได้

ในรายงาน 2024 Goals, Tasks set in Government Work Report Full Version ของสภาแห่งชาติจีนได้ระบุเป้าหมายในปี 2024 ที่จีนอยากจะไปให้ถึง รวมถึงกลยุทธ์ที่จีนน่าจะใช้เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจให้ได้ ซึ่งหากผู้อ่านสนใจศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมสามารถคลิก ที่นี่ เพื่ออ่านฉบับเต็มได้

ส่วนรายละเอียดว่าจีนจะพาเศรษฐกิจของตัวเองเติบโตได้อย่างไร และรายละเอียดปัจจัยที่จะทำให้จีนไปไม่ถึงเป้าหมายเป็นอย่างไรบ้าง ติดตามอ่านได้จากบทความนี้

 

เศรษฐกิจไม่ฟื้นเพราะหลายปัญหารุมเร้า

เมื่อปีที่แล้ว จีนได้ปรับประมาณการตั้งเป้าหมาย “ประมาณ 5%” ซึ่งเป็นเป้าหมายตัวเลขต่ำสุดของประเทศที่ประกาศในรอบหลายทศวรรษ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา การเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึง 5.2% ในปี 2023

อย่างไรก็ตาม การที่จีนจะบรรลุเป้าหมายให้  GDP โตได้อย่างน้อยก็เท่ากับที่เคยคาดการณ์ไว้ในตอนต้นปี 2023 ที่ 5% แต่สุดท้ายเกินคาดไปจบที่โต 5.2%  ในปี 2024 อาจไม่ได้ง่ายเหมือนกับที่พวกเขาคิด เพราะปัจจัย “ลบ” ที่มากระทบมากขึ้นกว่าปีก่อน หรือที่เรียกกันเล่น ๆ ว่า “เผาจริง” 

ในปี 2022 เศรษฐกิจจีนยังเจอข้อจำกัดหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือนโยบาย Zero-Covid Effect ส่งผลกระทบให้เศรษฐไม่โต และ GDP โตที่แค่ 3% ซึ่งแน่นอนว่า สี จิ้นผิง ไม่พอใจแน่นอน อีกทั้งนักวิเคราะห์เองก็ไม่ได้พิจารณาเอาอัตราการเติบโตในปี 2022 มาเทียบกับปี 2023 เพราะมันคนละบริบท เนื่องจากในปี 2022 จีนยังติดอยู่ในนโยบายจำกัดการใช้ชีวิตอย่างหนักหน่วงอยู่เลย 

พอเข้าสู่ช่วงปลายปี 2022 จีนถึงค่อยผ่อนคลายนโยบายจำกัดการใช้ชีวิตของประชาชน พอปลดก็ระเบิด คนที่ไม่ได้ใช้ชีวิต ไม่ได้ออกไปไหนนาน ๆ ก็เกิดการจับจ่ายใช้สอย เกิดการเดินทาง เริ่มมีการเปิดให้ออกเดินทางไปต่างประเทศ แน่นอนว่า GDP โตแน่ ๆ เพราะดีมานด์อั้นมานาน

แต่ปีนี้ต่างไปเมื่อจีนน่าจะต้องเจอปัญหาเหล่านี้แน่ ๆ ที่ขวางไม่ให้พวกเขาไปถึงเป้าหมายที่ 5%

อย่างเช่น ปัญหาการบริโภคภายในประเทศยังไม่ฟื้น ปัญหาความเชื่อมั่นนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ปัญหาหนี้ในภาคอสังหาฯ ปัญหาแรงงานและปัญหาสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งถึงแม้อาจจะยังไม่รุนแรงเหมือนกับประเทศอื่น ๆ แต่พวกเขาก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงเช่นกัน

ปัญหาเหล่านี้กลายเป็นโรคร้ายที่ค่อย ๆ กัดกินไม่ให้เศรษฐกิจจีนโตไปถึงเป้าหมาย อย่างปัญหาความตึงเครียดในระดับภูมิภาค พวกเขาไม่ใช่ที่ชื่นชอบของประเทศฝั่งประชาธิปไตยมากนัก และถูกมองในภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดีทั้งในเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และการดิสรัปต์ซัปพลายเชนของโลก รวมถึงเศรษฐกิจโลกในขณะนี้เองกำลังอยู่ในภาวะตึงตัวจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยติด ๆ กันจนเกิดปัญหาข้าวของแพงทุกหัวระแหง 

นอกจากนี้ วิกฤตการณ์ทางประชากรก็เป็นอีกปัญหาที่จีนกำลังต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนประชากรสูงวัยและจำนวนคนงานที่ลดลง ส่งผลกระทบต่อพลวัตทางเศรษฐกิจและศักยภาพในการเติบโต



Evergrande ที่ทิ้งปัญหาไว้ในภาคอสังหาฯ จีนทำให้รัฐบาลต้องคอยตามเช็ดตามล้าง

 

วิกฤตการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์และความกดดันด้านภาวะเงินฝืด จีนต่อสู้กับวิกฤตหนี้ก้อนใหญ่ที่ Evergrande ได้ก่อเอาไว้หลังการล้มลายของบริษัท ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน กำลังต่อสู้กับลมปะทะที่สำคัญ เช่น วิกฤตด้านอสังหาริมทรัพย์ ความกดดันด้านภาวะเงินฝืด และวิกฤตด้านประชากรศาสตร์ ซึ่งอาจขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการใช้จ่าย: ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อ่อนแอ และรูปแบบการบริโภคมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยการบริโภคคาดว่าจะอ่อนแอลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่ำ

ความท้าทายเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้าง เช่น กำลังการผลิตล้นเกิน ความเสี่ยงด้านหนี้ และการลดลงของประชากรวัยทำงาน ซึ่งอาจขัดขวางความพยายามในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตของ GDP

การลงทุนที่ชะลอตัวและข้อมูลขาดความแจ่มใส: ความท้าทายต่าง ๆ เช่น การชะลอตัวของการลงทุนในภาคส่วนสำคัญ ๆ เช่น พลังงานใหม่ ข้อมูลที่ขาดความแจ่มใสในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ และการปราบปรามการสะสมหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น ก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายการเติบโต

มีช่วงหนึ่งที่นายหลี่ (นายกรัฐมนตรีของจีน) พูดถึง “ความเสี่ยงที่ยังคงอยู่และอันตรายที่ซ่อนอยู่” ต่อเศรษฐกิจของจีน ข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่านายหลี่ไม่ได้พูดเกินไป ก็คือดัชนีราคาผู้บริโภคและผู้ผลิตในเดือนมกราคมลดลงมาอยู่ที่ 0.8% และ 2.5% ตามลำดับ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าประชาชนไม่ค่อยใช้จ่ายเงิน (ปัญหาเงินฝืด) อาจจะมาจากพวกเขากังวลอนาคตเรื่องเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความแน่นอน เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

 

นายหลี่ เฉียง (Li Qiang) นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของจีน: The New York Times

 

*หลี่ เฉียง(Li Qiang) เป็นดังพันธมิตรคู่กายและใกล้ชิดกับ สี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีน ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีของจีนด้วยการลงคะแนนเสียงจากสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPP) โดยนาย หลี่ เฉียง ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อจาก นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีคนก่อน ลาออกจากตำแหน่งหลังดำรงตำแหน่งได้ 2 สมัย

นายกรัฐมนตรีคือหัวหน้ารัฐบาล ตามทฤษฎีแล้วเขาคือบุคคลที่ทรงอิทธิพลเป็นอันดับสองในจีน อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาดูเหมือนนายกรัฐมนตรี (ของจีน) จะไม่ได้มีบทบาทในการกำหนดนโยบาย หรือมีอำนาจสั่งชี้ขาดได้เหมือนสี จิ้นผิง รวมถึงไม่ได้มีอำนาจและบทบาทที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน



ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของจีน: NYtimes



ถามว่ากับปัญหาเรื่องเงินฝืดรัฐบาลจีนมีแผนที่จะแก้ปัญหานี้ไหม คำตอบคือ “มี” และไม่ใช่แก้ให้หาย แต่ต้องแก้แล้วต้องช่วยให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย นายหลี่บอกว่ารัฐบาลจีนตั้งเป้าจะใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุลในงบประมาณทั่วไปที่ 3% ของ GDP (ส่วนใหญ่นำเงินมาอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจมักดำเนินการโดยกระทรวงการคลัง) 

นอกจากนี้ จะเพิ่มโควตาการออก “พันธบัตรรัฐบาลแบบพิเศษ” ที่จะออกโดยรัฐบาลท้องถิ่นซึ่งเงินที่ได้จะถูกใช้จ่ายไปกับโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนรัฐบาลกลางเองก็แพลนว่าจะขายพันธบัตรแบบพิเศษระยะยาวมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (140,000 ล้านดอลลาร์) ในปี 2024 และจะขายพันธบัตรพิเศษระยะยาวเพิ่มเติมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โปรเจกต์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเพื่อเข็นให้ GDP โต 5% ซึ่งน่าจะทำให้ขาดดุลทางการคลังเพิ่มขึ้น 1% ของ GDP

 

ความคาดหวังต่อพลังของพญามังกร

ด้วยความที่จีนเป็นประเทศที่ใหญ่มีขนาดเศรษฐกิจที่เป็นอันดับ 2 ของโลกและด้วยความทะเยอทะยานของผู้นำจีนที่อยากจะพาประเทศตัวเองให้ก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์ 1 ของโลกในฐานะประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ จีนที่เคยเป็นดังซัปพลาย หรือโรงงานของโลก กำลังถูกทำให้ลดทอนอำนาจและไม่ให้เกิดการผูกขาดในด้านซัปพลายเชน โดยมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะไม่ชอบจีนมากเท่าใดแต่พวกเขาก็ยังต้องนำเข้าสินค้าจากจีนในปริมาณที่สูงอยู่ โดยตอนนี้พวกเขากำลังหันไปจับมือกับกับอินเดีย ที่อาจจะได้ชื่อว่าเป็นมหามิตรใหม่ในด้านการผลิตและส่งสินค้าสำคัญ ๆ เข้าไปยังสหรัฐฯ

ด้วยสาเหตุเหล่านี้เองทำให้ทั้งนักลงทุนโดยตรงและนักลงทุนทางอ้อมผ่านตลาดหลักทรัพย์ของจีนจึงเกิดความคาดหวังต่อผู้นำสูงสุดอย่างสี จิ้นผิง และคณะรัฐบาลทั้งหมดในการเดินหน้าพาจีนกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

แต่ก็ต้องบอก ในปี 2024 นักวิเคราะห์มองว่าจีนน่าจะต้องเผชิญเผชิญกับความท้าทายในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมากแน่นอน เพราะตอนนี้เศรษฐกิจของจีนกำลังต่อสู้กับทั้งปัญหาภาวะเงินฝืด ราคาผู้บริโภคและผู้ผลิตที่ลดลง วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อ และการเข้าถึงตลาดหลักและเซมิคอนดักเตอร์ระดับสูงอย่างจำกัด

เพื่อกระตุ้นอุปสงค์และรับมือกับการเติบโตที่ลดลง รัฐบาลวางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพิ่มเงินบำนาญขั้นต่ำของรัฐ และแนะนำโครงการริเริ่มเพื่อเพิ่มการใช้จ่ายของผู้บริโภค

แม้จะมีความพยายามเหล่านี้ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนก็คาดว่าจะชะลอตัวลงเหลือ 4.7% ในปี 2024 จาก 5.2% ในปี 2024

การที่รัฐบาลไม่เต็มใจที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและความปรารถนาที่จะรักษาเสถียรภาพทำให้เกิดความท้าทายในการบรรลุเป้าหมายการเติบโต

นอกจากนี้ การลดลงของจำนวนประชากรของจีนและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมีส่วนทำให้เกิดความยากในการรักษาเสถียรภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนอีกด้วย

 

เมื่อปฏิเสธนอกบ้าน ก็จำเป็นต้องทำในบ้านให้แข็งแรง

จีนเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีวิทยาการในด้านเทคโนโลยีก้าวหน้า หรือจะเรียกว่าก้าวล้ำเลยก็ไม่ผิด เพราะพวกเขาสามารถที่จะผลิตได้ตั้งแต่ ไม้จิ้มฟัน ยันเรือรบ (ทำได้ครอบจักรวาลจริง ๆ) แถมไม่ได้หยุดแค่เรือรบด้วยพวกเขาล้ำถึงขั้นสร้างยานอวกาศส่งนักบินอวกาศไปเหยียบดวงจันทร์มาแล้ว

แต่สาเหตุที่ต้องให้ชื่อหัวข้อว่า จีนปฏิเสธที่จะโตด้วยการค้าขายนอกบ้านกับประเทศอื่น ๆ ก็เพราะว่า ตอนนี้จีนเองด้วยความที่เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ การบริหารประเทศขึ้นกับรัฐบาลค่อนข้างมาก และรัฐบาลสั่งเป็นสั่งตายกับธุรกิจและประชาชนได้ประมาณหนึ่งเลย ทำให้นานาอารยประเทศโดยเฉพาะประเทศฝั่งตะวันตกไม่ค่อยอยากคบค้ากับจีน

เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาก็ต้องหันมาพึ่งพาการบริโภคในประเทศ หรือที่เรียกว่า Domestic Consumption ตามหลัก GDP คิดมาจาก C+I+G+(X-M)  

C = Consumption ส่วนใหญ่จะหมายถึงการบริโภคในประเทศ หรือก็คือการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน

I = Investment โดยทั่วไปจะหมายถึงการลงทุนของภาคเอกชน

G = Government Spending หมายถึงการที่รัฐบาลใช้จ่ายเงินไปกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อุดหนุนราคาพืชผลทางการเกษตร และเงินอัดฉีดช่วยเหลือประชาชนต่าง ๆ

ส่วน X-M หมายถึง Export – Import ประเทศไหนที่มีทั้งทรัพยากร มีทั้งประชากรที่เก่งและแข็งแกร่งย่อมสร้างความได้เปรียบในแง่การเป็นผู้สร้างมากกว่าเป็นผู้บริโภคได้มาก จุดนี้ตัวเลขก็จะเป็นบวก

จะเห็นว่าจีนพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้จากสมการ GDP ดังนั้น ในปี 2024 นี้พวกเขาจะโฟกัสที่ “บ้าน” ของตัวเองเป็นหลัก โดยพยายามลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้า เรียกได้ว่าเข้ากับนโยบาย “จีนทำ จีนใช้ จีนเจริญ” และรัฐบาลก็พร้อมที่จะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อหวังกระตุ้นให้ความเชื่อมั่นและดัชนีราคาผู้บริโภคฟื้นกลับคืนมา

ดังจะเห็นได้จากการที่จีนเองพยายามจะลดการนำเข้าสินค้าประเภทเทคโนโลยีซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “เซมิคอนดักเตอร์” หรือ “ชิป” ที่จีนกำลังจะหันมาเอาดีด้านนี้ด้วยการทำเอง เพราะจีนเองก็เป็นผู้ส่งออกแรร์เอิร์ธ หรือแร่ธาตุหายาก อย่าง ซิลิคอน ซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญสำหรับการผลิตชิป

และแน่นอนว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนในระยะยาวจะต้องอาศัยปัจจัยภายในประเทศ อย่างการใช้จ่ายของภาคประชาชน รวมถึงการใช้จ่ายลงทุนของภาคเอกชน นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง บอกว่า รัฐบาลเตรียมที่จะอัดฉีดเงินเข้าสู่ภาคประชาชนโดยตรง โดยการเพิ่มเงินบำนาญพื้นฐานของรัฐขั้นต่ำอีก 20 หยวนต่อเดือน 

นอกจากนี้ นายหลี่ยังได้พูดถึงโครงการในระยะสั้น เพื่อสนับสนุนให้ครัวเรือนต่าง ๆ แลกเปลี่ยนสินค้าเก่าเพื่อซื้อของใหม่ ซึ่งอาจคล้ายกับโครงการริเริ่ม “cash for clunkers” ที่อเมริกาเปิดตัวในปี 2009 เพื่อสนับสนุนให้ผู้คนเปลี่ยนรถยนต์เก่า ๆ มาเป็นรถยนต์ใหม่ที่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น การเพิ่มอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยให้กับประชาชนจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งผ่านโครงการริเริ่มในเฟสแรกอย่าง “worry-free consumption” หรือ “การใช้จ่ายโดยไม่ต้องกังวล” 

แม้ประชาชนจะไม่ต้องกังวลแต่รัฐบาลก็ยังมีความกังวลปรากฏให้เห็น อย่างในตอนที่นายหลี่ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมของพรรค NPC ในปีศักราชนี้ผู้นำของจีนนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะปลดปล่อยประเทศจากการพึ่งพาเทคโนโลยีจากมหาอำนาจต่างชาติที่เป็นศัตรู อย่างอเมริกา 

การใช้จ่ายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของรัฐบาลกลางในปี 2024 จะเพิ่มขึ้น 10% อยู่ที่มากกว่า 370,000 ล้านหยวน ด้านนายหลี่ตั้งข้อสังเกตว่าเงินที่จะได้จากการเปิดขายพันธบัตรระยะยาวชุดใหม่ของจีนจะถูกนำไปใช้ในการสร้าง “ความสามารถในการพัฒนาความมั่นคง” ของประเทศ 

 

อะไรคือปัจจัยที่จะทำให้ในปีนี้ (2024) GDP จีนจะโต 5%

 

แม้ เศรษฐกิจจีน จะเติบโตขึ้นในปีที่แล้ว แต่ก็แลกมาด้วยหนี้ที่สูง วิกฤตที่อยู่อาศัย และจำนวนแรงงานที่หดตัวและสูงวัยกำลังส่งผลกระทบต่อผลผลิต: The New York Times

“รากฐานสำหรับการฟื้นตัวและการเติบโตทาง เศรษฐกิจจีน นั้นยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ โดยเห็นได้จากการขาดอุปสงค์ที่มีประสิทธิภาพ กำลังการผลิตล้นเกินในบางอุตสาหกรรม ความคาดหวังของสาธารณชนต่ำ และความเสี่ยงที่ยังคงอยู่และอันตรายที่ซ่อนอยู่มากมาย” 

นี่คือคำกล่าวของนาย หลี่ เฉียง ที่กล่าวกับสภาประชาชนแห่งชาติ หน่วยงานที่ควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ที่อนุมัติกฎหมายและงบประมาณ นายหลี่ยืนยันว่าในเรื่องเศรษฐกิจจีนนั้นมาถูกทางแล้ว แต่ยอมรับว่าประเทศยังต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมาก (ที่อาจทำให้เศรษฐกิจไม่โตตามเป้า)

นักเศรษฐศาสตร์บางคนตั้งข้อสงสัยถึงการเติบโตที่สูง (ปี 2023 โต 5.2%) ว่าเป็นไปตามที่จีนอ้างหรือไม่ นอกจากนี้ ปีที่แล้วเศรษฐกิจโตและมีการฟื้นตัวเล็กน้อยเนื่องจากมีการใช้มาตรการ “Zero-Covid” ที่เข้มงวดจนถึงเดือนธันวาคม 2022 ทำให้ดีมานต์อั้น และมาระเบิดในปี 2023 ที่รัฐบาลจีนเปิดเสรีประเทศ  คำถามที่นักเศรษฐศาสตร์สงสัยคือ ถ้าหากไม่มีผลพวงจากการฟื้นตัวรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รุนแรงแบบปีที่ผ่าน ๆ มาแล้วนั้น ปีนี้เศรษฐกิจจีนจะโตได้ขนาดนั้นจริง ๆ หรือ 

แต่เมื่อต้องไปให้ถึงเป้าหมายตามที่ สี จิ้นผิง ตั้งความหวังไว้อย่างไรก็ต้องทำ และเพื่อทำให้เป้าหมาย GDP โตให้ได้อย่างน้อย 5% จีนจะทำอะไรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ไปถึงฝันได้ 

  • ปรับนโยบายการเงิน ธนาคารประชาชนจีนบอกเป็นนัยถึงศักยภาพในการเพิ่มสภาพคล่องโดยการลดอัตราส่วนสำรองของธนาคาร ส่งเสริมการปล่อยสินเชื่อและกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
  • นโยบายการคลัง รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะรักษานโยบายการคลังเชิงรุก (ใช้นโยบายขาดดุล -3%) รวมถึงการใช้นโยบายการเงินที่รอบคอบเพื่อปิดความเสี่ยงในการเกิดหนี้ เพื่อให้สามารถกู้ยืมเงินได้มากขึ้น เพราะโครงการริเริ่มฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้
  • การมุ่งเน้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคให้มากขึ้น เรื่องนี้สำคัญที่สุดเพราะเป็นปัญหาที่ผู้นำจีนรับรู้มาโดยตลอดและมองว่าเป็นความท้าทายที่แก้ไม่ง่าย โดยรัฐบาลมีความพยายามมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงมีแผนจะออกพันธบัตรรัฐบาลพิเศษ และให้การสนับสนุนรัฐบาลท้องถิ่นที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ
  • การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเติบโตทางเศรษฐกิจ จีนตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการพัฒนา กลบความเสี่ยงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และจัดการกับความท้าทาย เช่น ซัปพลายในภาคการผลิตที่ล้นเกินความต้องการ รวมไปถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านหนี้ เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับนวัตกรรมเทคโนโลยีและการผลิต โดยมุ่งเน้นไปที่การยกเลิกข้อจำกัดการลงทุนจากต่างประเทศในภาคการผลิต การส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยี และพัฒนาขีดความสามารถด้านการผลิตเพื่อขับเคลื่อนการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี ♦

เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ

อ้างอิง

https://edition.cnn.com/2024/03/04/business/china-two-sessions-gdp-defence-budget-intl-hnk/index.html

https://www.economist.com/china/2024/03/05/china-will-struggle-to-meet-its-new-growth-target

https://www.economist.com/china/2024/03/07/why-chinas-confidence-crisis-goes-unfixed

https://www.reuters.com/world/china/china-targets-2024-gdp-growth-around-5-government-work-report-2024-03-05/

https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-03-06/china-defends-5-target-vows-vigorous-effort-to-grow-economy?embedded-checkout=true

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer