CHIP ตลาดนี้ถึงเวลาของจีนหรือยัง วิเคราะห์จุดเปลี่ยนเทคโนโลยีโลกกำลังจะเกิด

วัตถุขนาดจิ๋วที่เป็นหัวใจ (และสมอง) ของอุปกรณ์ที่มีการใช้ไฟฟ้าทุกชนิดก็คือ “ชิป” ถามว่าชิปคืออะไรแล้วทำไมชิปถึงมีความสำคัญกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกือบทุกชนิดในโลก ก็ต้องอธิบายว่า

ชิป หรือที่รู้จักกันในชื่อ เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) เปรียบเสมือน “สมอง” ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่ประมวลผล เก็บข้อมูล และส่งผ่านข้อมูล เปรียบเสมือนวงจรไฟฟ้าขนาดจิ๋วที่รวมทรานซิสเตอร์และส่วนประกอบอื่น ๆ ไว้บนแผ่นซิลิคอน

แล้วทำไมชิปจึงสำคัญ ที่ชิปสำคัญก็เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกือบทุกชนิดใช้ชิป เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต ทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์ควบคุมอัตโนมัติ ฯลฯ และอีกอย่างก็คือ ชิปช่วยให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานได้ ช่วยให้อุปกรณ์ประมวลผลข้อมูล เก็บข้อมูล ควบคุมการทำงาน แสดงผล และเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น นอกจากนี้ ชิปยังมีบทบาทสำคัญในเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) Internet of Things (IOT) หุ่นยนต์ ยานยนต์ไฟฟ้า

อีกเรื่องที่ผู้อ่านน่าจะต้องรู้ คือ ที่ปัจจุบันเราจะเห็นข่าวว่า ทำไมสหรัฐฯ ก็อยากผลิตชิปเป็นของตัวเอง จีนก็อยากทำเอง ก่อนที่เราจะเข้าไปพูดคุยถึงสาเหตุว่าทำไมแต่ละประเทศที่มีศักยภาพด้านเทคโนโลยีถึงอยากลดการพึ่งพาประเทศอื่น ๆ ในการนำเข้าชิป เราอยากจะชวนให้คุณมาทำความรู้จักระบบนิเวศของเซมิคอนดักเตอร์ ปัจจุบันประเทศผู้ผลิตและส่งออกชิปอันดับ 1 ของโลก ไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจอย่างที่หลายคนอาจจะคาดเดา และนั่นก็คือ “ไต้หวัน”

 

ไต้หวัน เกาะเล็ก ๆ แต่มีศักยภาพมากพอที่จะเป็นผู้ส่งออกเซมิคอนดักเตอร์อันดับ 1 ของโลก: Google Map

 

ไต้หวัน ชื่อทางการว่า สาธารณรัฐจีน (Republic of China) เป็นดินแดนที่เป็นหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และเป็นดินแดนที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 14 ของโลก ซึ่งดูจากขนาดเราก็อาจจะไม่เชื่อว่าเกาะเล็ก ๆ แบบนี้ทำไมศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจจึงสูง

ไต้หวันนั้นเป็นผู้ผลิตและส่งออกชิปอันดับ 1 ของโลก และมีส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทผลิตชิปของไต้หวันรวมทั้งโลกสูงถึง 50% ของตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลก โดยบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน (และใหญ่ที่สุดของโลก) คือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSMC) ซึ่งผลิตไมโครชิปให้กับแบรนด์ใหญ่ ๆ ของโลกอย่าง Intel, Apple, AMD, Nvidia และ Qualcomm

โดย 5 อันดับที่ผลิตและส่งออก CHIP มากที่สุดในโลกประกอบไปด้วย

1. ไต้หวัน

2. เกาหลีใต้

3. ญี่ปุ่น

4. สหรัฐฯ

5. จีน

 

แล้วทำไมไต้หวัน เกาะเล็ก ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจีน จึงสามารถผลิตและส่งออกชิปได้เป็นอันดับ 1 ของโลก  เหตุผลเบื้องหลังความยิ่งใหญ่นี้มาจากความสำเร็จของบริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง TSMC หรือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในไต้หวัน

TSMC ผูกขาดการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ตามสัญญาเกือบทั้งหมดนับตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1980 คิดเป็น 54% ของส่วนแบ่งตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก อย่างที่ได้กล่าวไป TSMC รับผลิตชิปให้กับผู้ผลิตสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต สมาร์ตวอตช์ อย่าง Apple และ Qualcomm ผลิตการ์ดจออย่าง Nvdia ผลิต CPU อย่าง Intel แค่เอ่ยชื่อบริษัทระดับโลกเหล่านี้มาก็รู้ได้ทันทีเลยว่าถ้า TSMC รับผลิตชิปให้กับบริษัทเหล่านี้ ความยิ่งใหญ่ก็ยังคงอยู่กับพวกเขาแน่นอน

รัฐบาลไต้หวันยังมีบทบาทสำคัญในความสำเร็จของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวันด้วยการเพิ่มทุนจำนวนมหาศาลให้กับ TSMC ที่กำลังเติบโต และการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดที่ช่วยรักษาตำแหน่งของตนในขณะที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เริ่มบูม

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันยังได้รับประโยชน์อย่างมากจากห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์แบบ End-to-End (ต้นจนจบ) ที่แข็งแกร่ง กล่าวคือ ไต้หวันเป็นที่ตั้งของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่การผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลายพันแห่ง ซึ่งสามารถจัดการทุกแง่มุมของกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตั้งแต่การจดสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญา การออกแบบวงจรเพื่อการผลิต การผลิต และการทดสอบผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย เรียกได้ว่ามาที่นี่ครบจบในที่เดียว นอกจากนี้ ไต้หวันยังเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตที่ทันสมัยหลายแห่ง ซึ่งบางแห่งสามารถผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ไม่สามารถผลิตที่อื่นในโลกได้

ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้เองทำให้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันเป็นตัวเลือกในอุดมคติสำหรับบริษัทที่ต้องการจะมีเซมิคอนดักเตอร์สำหรับผลิตภัณฑ์ของตัวเอง แต่ขาดเงินทุนหรือไม่อยากจะตั้งโรงงานผลิตชิปของตัวเองขนาดนั้น (เพราะลงทุนสูง) ก็มาใช้บริการไต้หวันในการผลิตชิปได้ ซึ่งจากความได้เปรียบทั้งหมดนี้เองทำให้ไต้หวันยังคงครองความเป็นเจ้าแห่งชิปได้อย่างไร้คู่ต่อกรในขณะนี้

 

 

สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ชิป

 

อย่างที่ได้เกริ่นไปตอนต้นบทความว่า ชิป หรือ เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) เปรียบเสมือน “สมอง” ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่ประมวลผล เก็บข้อมูล และส่งผ่านข้อมูล อุปกรณ์ที่มีระบบการทำงานที่ซับซ้อนและสัมพันธ์กันจำเป็นต้องมี ชิป ที่เหมือนสมองกล คอยสั่งการให้เกิดการทำงานขึ้นมาได้ เราจะเห็นว่าทุกวันนี้ในชีวิตประจำวันมนุษย์มีการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นเรื่อย ๆ ตามยุคสมัย เมื่อมีความต้องการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น ความต้องการในการใช้ชิปก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่รู้ไหมว่า กว่าจะมาเป็นชิป 1 ชิ้นนั้นประกอบไปด้วยโลหะที่มีมูลค่าสูงอย่างทองคำและแร่ธาตุหายากหลายชนิดประกอบกันเป็นชิป (เซมิคอนดักเตอร์) 1 ตัว

พูดถึงแร่ธาตุหายาก หรือ Rare Earth Element เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่ในทุกประเทศถึงแม้จะชื่อว่าแร่หายาก แต่ไม่ได้หายากขนาดนั้น แต่สิ่งที่ทำให้มันได้ชื่อว่ามีความ “ยาก” นั่นก็คือ  แร่ธาตุเหล่านี้พบในปริมาณน้อย กระจายตัวอยู่ทั่วไป และมักพบปนอยู่กับแร่ชนิดอื่น ทำให้การแยกและสกัดค่อนข้างยาก นั่นแปลว่าต้นทุนในการสร้างชิป 1 ตัว ขึ้นอยู่กับราคาต้นทุนของแร่แรร์เอิร์ธแน่นอน

 

ตารางธาตุแรร์ เอิร์ธ: EPA

 

ตัวอย่างการใช้แร่ธาตุหายากในเซมิคอนดักเตอร์

  • ซิลิคอน (Silicon) วัสดุหลักของชิปเซมิคอนดักเตอร์
  • แกลเลียม (Gallium) ใช้ในสารประกอบเซมิคอนดักเตอร์
  • เจอร์เมเนียม (Germanium) ใช้ในทรานซิสเตอร์
  • อินเดียม (Indium) ใช้ในหน้าสัมผัสไฟฟ้า
  • แทลเลียม (Thallium) ใช้ในเซลล์แสงอาทิตย์

 

จีนกับแรร์เอิร์ธในมือ

จีนคือประเทศเดียวในโลก ณ ขณะนี้ที่ถือครองตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมแร่ธาตุหายาก (Rare Earth Element: REE) คิดเป็นประมาณ 95% ของการผลิตทั้งโลก เหตุผลที่จีนเป็นประเทศที่มีการถือครองและส่งออกแร่หายากเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ต้นทุนการผลิตที่ลดลง มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่หละหลวม และการลงทุนของรัฐบาลในอุตสาหกรรม

ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ อย่าง สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และเมียนมา ก็มีแหล่งสำรองแร่หายากเช่นกัน แต่ประเทศเหล่านี้ไม่ได้มีเทคโนโลยีในการสกัดแร่เหล่านี้ได้ดีเทียบเท่าจีน หรือมีแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ต้นทุนในการได้มาซึ่งแร่เหล่านี้ถูกเท่ากับที่จีนทำได้

ซึ่งแร่หายากเหล่านี้เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ หรือพูดในอีกทางหนึ่งก็คือ ในตอนนี้ถ้าจีนหันมาเอาจริงกับการผลิตชิปใช้เองและส่งออกชิปเพื่อแข่งขันก็ต้องบอกเลยว่า พวกเขามีความได้เปรียบในแง่ทรัพยากรธรรมชาติและต้นทุนในเรื่องวัตถุดิบการผลิตที่นำหน้าหลาย ๆ ประเทศอยู่หลายช่วงตัว

ทำไมจีนถึงไม่อยากนำเข้าชิปแล้ว

ความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีของจีนไม่มีใครสงสัยในจุดนี้ เพราะพวกเขาสามารถสร้างได้ตั้งแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ภายในครัวเรือนไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่มีฟังก์ชันล้ำสมัยแซงหน้าค่ายรถในยุโรป

แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่จีนยังทำได้ (ไม่ดีนัก) ก็คือเรื่องการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์เปรียบเสมือนหัวใจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล แต่จีนกลับควบคุมเรื่องนี้ได้ไม่ดีทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีแร่แรร์เอิร์ธอยู่มากที่สุดในโลก นี่จึงเป็นที่มาของความกังวลอย่างมากในหมู่ผู้นำทางการเมืองและธุรกิจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ว่าหรือจีนจะต้องพึ่งพาต่างประเทศในการนำเข้าชิปอยู่ร่ำไป

อย่างในปี 2022 อเมริการะงับการส่งออกชิปไปยังประเทศที่มีการผลิตชิปและเครื่องมือการผลิตชิปอยู่แล้ว เพื่อกำจัดสกัดความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดการผลิตชิปโดยมุ่งเป้านโยบายนี้ไปที่จีน

ที่จริงแล้วจีนนั้นมีความเพียบพร้อมในเรื่องปัจจัยและทรัพยากรการผลิตอยู่แล้ว แต่ที่จีนยังไปไม่ถึงขั้นเป็นผู้ผลิตเบอร์ 1 ของโลกก็เพราะเรื่องเทคโนโลยีในการผลิตชิปที่ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร อาจจะเพราะหลาย ๆประเทศที่มีเทคนิค ความรู้ และเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตชิป ใช้วิธีการป้องกันไม่ให้จีนเข้าถึงความรู้ในจุดนี้

นั่นก็ทำให้ในเดือนธันวาคมปี 2023 ที่ผ่านมา จีนได้นำเข้าเครื่องพิมพ์หิน (Lithography Machines) หรือที่รู้จักกันในชื่อ เครื่องฉายแสง ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ทำหน้าที่ฉายแสงลงบนแผ่นเวเฟอร์ (Wafer) ที่เคลือบด้วยสารไวแสง เพื่อสร้างลวดลายวงจรไฟฟ้าบนพื้นผิวของเวเฟอร์ จาก ASML (ASML Holding N.V. เป็นบริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์ เพิ่มขึ้นถึง 450% (4.5 เท่า) เมื่อเทียบกับปี 2022 เหตุผลก็เพราะว่าผู้ผลิตชิปของจีนรู้ดีว่าถ้าไม่เร่งรีบซื้อเครื่องจักรนี้ ก็จะเจอกับการที่ทางรัฐบาลเนเธอร์แลนด์จะห้ามไม่ให้บริษัทขายเครื่องผลิตเซมิคอนดักเตอร์ไปให้กับจีน ซึ่งมีผลในเดือนมกราคมปี 2024 (อ้างอิง ASML blocked from shipping some of its critical chipmaking tools to China)

 

ภาพเครื่อง Lithography ที่ผลิตโดยบริษัท ASML Holding ของเนเธอร์แลนด์: ASML

 

แม้ว่าก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนจะมีการให้เงินทุนสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตชิปภายในประเทศของตัวเองมาเป็นเวลานานหลายปี แต่ความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับข้อจำกัดทางการค้าที่อเมริกาและประเทศพันธมิตรของอเมริกาบังคับใช้ก็ทำให้ความพยายามในการผลักดันอุตสาหกรรมการผลิตชิปยิ่งทวีความยากมากขึ้นไปอีก

เมื่อเป็นเช่นนี้ในปี 2022 รัฐบาลจีนจึงได้ออกนโยบายระดับชาติในการเพิ่มแรงจูงใจให้กับบริษัทผู้ผลิตชิป ภายใต้โครงการ “นวัตกรรมข้อมูล” หรือ ซินฉวง (xinchuang) โดยมีจุดประสงค์ในการที่จูงใจให้บริษัทผู้ผลิตชิปของจีนหันมาใช้วัตถุดิบและเครื่องจักรที่มาจากซัปพลายเออร์ภายในจีนด้วยกันเอง

ถัดมาในเดือนสิงหาคมปี 2023 จีนก็เริ่มพบแสงสว่างในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้นเมื่อ Huawei บริษัทเทคโนโลยีโทรคมนาคมและการสื่อสาร และผู้นำด้านเทคโนโลยีอันดับ 1 ของจีนทำให้โลกต้องตกตะลึงด้วยการผลิตสมาร์ตโฟนที่ใช้ชิปขนาดเพียง 7 นาโนเมตรที่ชื่อว่า Kirin 9000s (ผลิตโดยบริษัท SMIC (Semiconductor Manufacturing International Corp) ของจีน โดย Huawei ใส่ชิปนี้ไว้ในสมาร์ตโฟน Huawei Mate 60 Pro ซึ่งเจ้าชิปตัวนี้มีความสามารถที่ทำให้สมาร์ตโฟนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วระดับ 5G ได้ เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีของจีน และการลดการพึ่งพาการนำเข้าชิปจากต่างประเทศ

 

อาจมีผู้อ่านหลายคนสงสัยว่า ทำไมบริษัทผู้ผลิตชิปจึงต้องแข่งขันกันผลิตชิปที่มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ คำตอบก็คือ

การที่ชิปมีขนาดเล็กนั้นก็เพื่อ

1. เพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล การที่ชิปมีขนาดเล็กลงนั้นก็เพื่อที่จะสามารถรองรับกับจำนวนทรานซิสเตอร์ที่มากขึ้นได้ ซึ่งการที่มีทรานซิสเตอร์จำนวนมากบนพื้นที่ที่ชิดกันมากขึ้นจะไปส่งผลต่อการไหลของกระแสไฟฟ้าภายในชิปที่เร็วขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของชิปเร็วขึ้นนั่นเอง

2. ประหยัดพลังงาน แน่นอนว่าชิปที่มีขนาดเล็กลงก็ย่อมใช้พลังงานน้อยลง ซึ่งจะเหมาะกับอุปกรณ์พกพาที่ต้องการประหยัดพลังงาน

3. ประหยัดพื้นที่ ชิปขนาดเล็กลงช่วยประหยัดพื้นที่บนแผงวงจร ทำให้บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ประเภทสมาร์ตโฟนและคอมพิวเตอร์สามารถออกแบบอุปกรณ์ให้มีขนาดเล็กลงได้

4. ต้นทุนการผลิต การผลิตชิปที่มีขนาดเล็กลงส่งผลต่อต้นทุนการผลิตที่ลดลงอย่างแน่นอน

5. การแข่งขัน ตลาดชิปมีการแข่งขันสูง บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน

ยกตัวอย่างเช่น สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ ๆ มักจะใช้ชิปขนาดเล็กลง เพื่อทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น ประหยัดพลังงาน และมีขนาดบางลง เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่มีชิปขนาดเล็กลงก็ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น ประหยัดพลังงาน และมีน้ำหนักเบาลง

 

มีข่าวลือว่าในตอนนี้ Huawei กำลังซุ่มผลิตชิปที่มีขนาดเล็กเพียง 5 นาโนเมตร โดยร่วมมือกับ SMIC (Semiconductor Manufacturing International Corporation) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดของจีน

นอกจากนี้ ยังมีรายงานออกมาอีกว่าว่าชิป Ascend ของ Huawei ที่ออกแบบมาสำหรับการประมวลผลของปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะ โดยแหล่งข่าวระบุว่า Ascend Chip ถูกนำไปใช้จริงโดย Baidu เสิร์ชเอนจิ้นยักษ์ใหญ่ของจีน ที่เป็นผู้สร้าง Ernie หรือ Chatgpt เวอร์ชั่นจีนอีกด้วย

ทั้งหมดนี้ทำให้อุตสาหกรรมชิปของจีนห่างไกลจากขอบเขตทางเทคโนโลยี แม้ว่าในที่สุด Huawei และ SMIC จะประสบความสำเร็จในการผลิตชิป 5 นาโนเมตร แต่จีนก็ยังคงตามหลัง Samsung ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ และ TSMC ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลกของไต้หวัน ซึ่งทั้ง 2 บริษัทนี้ได้เริ่มผลิตชิป 3 นาโนเมตรจำนวนมากมาตั้งแต่ปี 2022 แล้ว ซึ่งตอนนั้นจีนยังไม่ได้คิดจะผลิตชิปขนาด 5 นาโนเมตรด้วยซ้ำ

*1 ธันวาคม 2023 ชิปที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกถูกผลิตขึ้นโดยบริษัท ไอบีเอ็ม (IBM) ซึ่งชิปตัวนี้มีขนาดเพียง 2 นาโนเมตร

 

การที่จีนยังขาดแคลนเครื่องผลิตชิปขั้นสูง ถือเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อความก้าวหน้าในการผลิตชิปของจีนเป็นอย่างมาก ในเดือนธันวาคมผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน SMEE ซึ่งเป็นความหวังหลักของจีนในแง่การผลิตเครื่องพิมพ์ลายของเซมิคอนดักเตอร์ โพสต์ลงบนโซเชียลมีเดียว่า เครื่องจักรของบริษัทประสบความสำเร็จในการผลิตชิปขนาด 28 นาโนเมตร แม้ว่าในภายหลังบริษัทจะลบโพสต์นั้นออกไปแล้วก็ตาม ซึ่งถ้าจริงตามที่บริษัทกล่าวอ้าง นั่นก็แปลว่าบริษัทสัญชาติจีนที่ผลิตเครื่องผลิตชิปก็ยังคงตามหลังบริษัทใหญ่อย่าง ASML ซึ่งสามารถสร้างเครื่องผลิตชิปขนาด 3 นาโนเมตรได้

หากเรามองให้ลึกเข้าไปเราจะพบว่า จีน กำลังค่อย ๆ (อยากจะ) เลิกพึ่งพาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเคส Huawei ซึ่งในปี 2019 ถูกคว่ำบาตรจากอเมริกาทำให้พวกเขาถูกตัดขาดการเข้าถึงเทคโนโลยีของอเมริกาโดยสิ้นเชิง

แต่แม้เรื่องนั้นจะทำให้ Huawei เสียศูนย์ไปบ้าง แต่ตอนนี้พวกเขากำลังปลูกฝังระบบนิเวศการผลิต chip ในวงกว้างให้กับจีน โดยมีรายงานว่า Huawei ผสานความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตชิปหลายแห่ง ไม่ว่าจะโดยการร่วมลงทุนในโครงการหรือการแลกเปลี่ยนพนักงาน

และเมื่อเดือนมีนาคมปี 2022 Huawei ประกาศว่าได้ค้นพบความก้าวหน้าหลายประการในการพัฒนาซอฟต์แวร์การออกแบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ (Electronic-Design-Automation EDA) ที่ใช้ในการสร้างพิมพ์เขียวสำหรับชิป ซึ่ง Huawei บอกว่าจะทำให้จีนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาซัปพลายเออร์จากต่างประเทศ ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่มีขนาดตั้งแต่ 14 นาโนเมตรขึ้นไป

ความร่วมมือดังกล่าวเกิดบ่อยขึ้น ในอดีตโรงงานผลิตชิปของจีนอาศัยการนำเข้าเครื่องจักรที่ผ่านการทดลองและทดสอบจากต่างประเทศ แต่ในขณะนี้บริษัทที่ใหญ่ที่สุดบางแห่ง รวมถึงบริษัท SMIC ได้เปิดกว้างมากขึ้นสำหรับการทดลองใช้ปัจจัยและเครื่องจักรในการผลิตชิปจากจีนด้วยกันเอง นั่นเท่ากับว่าซัปพลายเออร์ในจีนมีโอกาสที่จะได้รับคำติชมและปรับปรุงการออกแบบเครื่องจักรของพวกเขามากขึ้น (และเป็นการปรับปรุงจากคำติชมของบริษัทผู้ผลิตชิปเบอร์ 1 ของประเทศ) แม้ว่าการหันมาใช้เครื่องจักรผลิตชิปจากซัปพลายเออร์ภายในประเทศจะมาพร้อมกับต้นทุนและความเสี่ยงสำหรับผู้ผลิตชิป แต่รัฐบาลจีนก็คิดว่าทางนี้คือวิธีการที่ดีที่สุดที่จะสามารถหลุดพ้นจากการพึ่งพาการนำเข้าเครื่องจักรและปัจจัยการผลิตชิปจากต่างประเทศได้ และรวมไปถึงเพื่อเป็นการป้องกันการคว่ำบาตรจากประเทศฝั่งตะวันตกด้วย

และถ้าบริษัทผลิตชิปในประเทศไม่ค่อยอยากจะใช้เครื่องจักรที่ผลิตจากผู้ผลิตภายในประเทศจีนด้วยกันเอง รัฐบาลจีนอาจมีการอัดฉีดเงินจูงใจและส่วนลดเพื่อให้ผู้ผลิตชิปในประเทศหันมาใช้เครื่องจักรจากซัปพลายเออร์ในประเทศด้วยกันเองก็เป็นไปได้ ♦

เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ

อ้างอิง

https://www.economist.com/business/2024/02/13/china-is-quietly-reducing-its-reliance-on-foreign-chip-technologyhttps://edition.cnn.com/2021/05/06/tech/ibm-semiconductor-two-nanometer/index.htmlhttps://www.politico.com/news/magazine/2022/12/14/rare-earth-mines-00071102https://www.cnbc.com/2024/01/02/asml-blocked-from-exporting-some-critical-chipmaking-tools-to-china.htmlhttps://worldpopulationreview.com/country-rankings/semiconductor-manufacturing-by-country

 

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer