Trend/นอกจากการปรับตัวครั้งใหญ่ของผู้คนและขาลงของธุรกิจท่องเที่ยวกับการเดินทางแล้ว

อีกเรื่องที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลกช่วงล็อกดาวน์เมื่อ 4 ปีก่อน คือขาขึ้นของอุตสาหกรรมชิปที่จำเป็นต่อการทำงานของ สมาร์ตโฟน อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้

ในช่วงล็อกดาวน์ ไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้และยวดยานพาหนะต่าง ๆ ที่มีตั้งแต่คอมพิวเตอร์ รถยนต์ ไปจนถึงเครื่องบินรบ  

เรื่องนี้ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า ไต้หวันประสบความสำเร็จอย่างมากจากการมองการณ์ไกล ทุ่มวิจัย พัฒนา วางระบบและองค์ความรู้ต่าง ๆ ด้านชิป ตั้งแต่เมื่อเกือบ 40 ปีก่อน

หลักฐานคือ TSMC บริษัทอันดับต้น ๆ ของไต้หวันขึ้นเป็นบริษัทชิปอันดับหนึ่งของโลก ด้วยการครองสัดส่วนตลาดเกิน 50%

และไต้หวันคือแหล่งประสิทธิ์ประสาทวิชาของคนระดับหัวกะทิในอุตสาหกรรมนี้

อย่างไรก็ตาม ไต้หวันก็ไม่ใช่ฐานสำคัญของอุตสาหกรรมชิปแห่งเดียวในเอเชีย โดยความน่าสนใจของแหล่งผลิตชิปอีกแห่งของเอเชียที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ คือเริ่มผลิตชิปมาก่อนไต้หวัน

อยู่ทางภาคใต้ของไทยเรา และเพิ่งมียักษ์เทคเบอร์ต้น ๆ ของโลกมาทุ่มลงทุนอีกด้วย  

ฐานการผลิตชิปแหล่งใหญ่อีกแห่งของเอเชียที่ว่า คือ มาเลเซีย ซึ่งอุตสาหกรรมชิปเริ่มต้นขึ้นในปี 1972 ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและตั้งเขตการค้าเสรีในรัฐปีนัง เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ สมัยอดีตนายกรัฐมนตรี อับดุล ราซัก ฮุสเซน

อดีตนายกรัฐมนตรี อับดุล ราซัก ฮุสเซน

Intel เป็นบริษัทแรกที่มาตั้งโรงงานชิปในมาเลเซีย โดยถือเป็นโรงงานนอกสหรัฐฯ แห่งแรกของ Intel อีกด้วย

อีก 3 ปีต่อมาโรงงานแห่งนี้ก็กลายเป็นโรงงานหลัก กินสัดส่วนการผลิตชิปราว 50% ของ Intel

จากนั้นค่ายชิปอีกหลายแห่ง เช่น HP และ AMD ก็พากันมาตั้งโรงงานในปีนัง จนต้นยุค 80 ค่ายชิปและบริษัทเซมิคอนดักเตอร์อยู่ในพื้นที่เพิ่มเป็น 14 แห่ง

พร้อมดึงดูดบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า และหลอดไฟ อย่าง Osram และ Hitachi ให้มาสร้างโรงงานด้วย

นอกจากประโยชน์จากเขตการค้าเสรีและนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลมาเลเซีย ที่เอื้อต่อการสร้างโรงงานในปีนังแล้ว ค่าจ้างแรงงานที่ถูก การพูดภาษาอังกฤษได้ของประชากร

และระบบโลจิสติกส์ที่ดี ก็เป็นอีกปัจจัยที่ดึงดูดการลงทุนในปีนัง ณ เวลานั้น

จากนั้นดงโรงงานชิปในปีนังก็ขยายตัวต่อเนื่อง จนส่งผลให้มาเลเซียมีองค์ความรู้ และโครงสร้างจำเป็นด้านอุตสาหกรรมชิปที่ครบครัน พร้อมกับการผลิตบุคลากรในอุตสาหกรรมชิปเพิ่มขึ้น 

ข้ามมาปี 2021 Intel ทุ่ม 7,100 ล้านดอลลาร์ (ราว 259,000 ล้านบาท) ขยายโรงงานในมาเลเซีย ส่วน Infineon ค่ายชิปใหญ่ยุโรปก็ทุ่ม 2,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 73,000 ล้านบาท) สร้างโรงงานในมาเลเซีย

อุตสาหกรรมชิปของมาเลเซียยังประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2023 ส่งออกชิปและแผงวงจรเพิ่มเป็น 81,400 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.9 ล้านล้านบาท) และขึ้นเป็นประเทศผู้ส่งออกชิปมากเป็นอันดับ 6 ของโลก

แน่นอนว่าพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์จากความสำเร็จนี้มากสุด คือ ปีนัง โดยหลักฐานคือเป็นรัฐที่เศรษฐกิจโตลำดับต้น ๆ และเป็นพื้นที่ส่งออกอันดับ 1 ของมาเลเซียมายาวนาน

พร้อมกันนี้ในปี 2023 ปีนัง ยังดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากบริษัทต่างชาติได้มากถึง 13,100 ล้านดอลลาร์ (ราว 478,000 ล้านบาท) คิดเป็น 47% ของทั้งประเทศในปีนั้น

ปลายพฤษภาคมปี 2024 นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ประกาศว่า อีกไม่กี่ปีจากนี้จะดึงดูดการลงทุนจากบรรดาค่ายชิปเพิ่มอีกให้ได้ 107,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.9 ล้านล้านบาท)

นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม

เพราะมาเลเซียมีมั่นใจว่าความเป็นกลางจึงสามารถดึงดูดการลงทุนจากทั้งสหรัฐฯ จีน และ ยุโรป อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางข่าวดีและข่าวร้าย

ข่าวดีคือ Google จะมาลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลมูลค่า 3,200 ล้านดอลลาร์ (ราว 116,000 ล้านบาท) ในมาเลเซีย โดยถือเป็นแห่งแรกในกลุ่มประเทศ ASEAN

และจะสร้างงานได้มากถึง 26,500 ตำแหน่ง ทำเอาประเทศเพื่อนบ้านที่อยากให้ยักษ์เทคมาลงทุนเช่นกันอิจฉาตาร้อน

ส่วนข่าวร้ายคือ รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งขึ้นบัญชีดำ Jatronics ค่ายชิปและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาเลเซีย หลังตรวจพบว่า ผลิตชิปโดรนและยุทโธปกรณ์ที่รัสเซียใช้ในการบุกยูเครน

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมชิปมาเลเซียยังมีปัญหาสมองไหล เพราะเมื่อวิศวกรขึ้นถึงตำแหน่งสูง ๆ มักย้ายไปทำงานในต่างประเทศ เพราะได้ค่าจ้างที่ดีกว่า

นอกจากนี้มาเลเซียยังมีปัญหาทุจริตของคนในหน่วยงานราชการหรือรัฐบาลอีกด้วย ซึ่งที่เป็นข่าวโด่งดังระดับโลกเมื่อไม่กี่ปีก่อน คือ

อดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก

การทุจริตที่ทำให้อดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก ต้องพ้นตำแหน่งในปี 2018 และรับโทษจำคุกในเวลาต่อมา ♦ /cnbc, reuters, aljazeera, valcanposts, nytimes, wikipedia, thediplomat


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer