โกโก้ มีแนวโน้มว่ากำลังจะหมดโลก ปรากฏการณ์นี้เตือนอะไรกับเรา (วิเคราะห์)

ภายในปี 2050 ช็อกโกแลตอาจสูญพันธุ์เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การตัดไม้ทำลายป่า และภาวะโลกร้อน

เมื่อโลกร้อนหนักข้อขึ้นต่อเนื่อง เรื่องสภาวะแวดล้อมที่เข้าขั้นวิกฤต จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ผลผลิตทางการเกษตรที่ลดปริมาณลงอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนถึงห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ที่กำลังส่งสัญญาณเตือนถึงวิกฤตทั่วโลก

 

โกโก้เป็นพืชที่ใช้ทำช็อกโกแลต ราคาโกโก้เพิ่มขึ้นสามเท่าภายในหนึ่งปีเนื่องจากผลผลิตที่ลดลง โดยแตะระดับ 10,000 ดอลลาร์ต่อตันเป็นครั้งแรก

วิกฤตนี้จึงส่งผลให้แบรนด์ช็อกโกแลตดังอย่าง Hershey’s, Cadbury รวมถึง Milka ต้องลดปริมาณช็อกโกแลตลง เพราะต้นทุนที่แพงขึ้น

อ้างอิงตัวเลขเมื่อปี 2022 ตลาดโกโก้ทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 14,155.88 ล้านดอลลาร์ หรือ 5 แสนล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นถึง 18,843.34 ล้านดอลลาร์ หรือ 7 แสนล้านบาทในปี 2028

ส่วนขนาดตลาดช็อกโกแลตโลกมีมูลค่า 128,195.22 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 5 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะขยายตัวที่อัตรา CAGR 5.08% ไปแตะ 172,538.62 ล้านดอลลาร์ (6ล้านล้านบาท) ภายในปี 2028

เพียงแค่เทศกาลอีสเตอร์ ช็อกโกแลตเป็นสินค้าที่สร้างเม็ดเงินสะพัดในอังกฤษประมาณ 14,000 ล้านบาท และในสหรัฐอเมริกาประมาณ 756,000 ล้านบาท แต่ช่วงหลังยอดขายช็อกโกแลตลดลง เนื่องจากการปรับราคาสินค้า

 

ภัยแล้งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ทำลายพืชผลในแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นแหล่งปลูกโกโก้ประมาณ 80% ของโลก ผู้ส่งออกโกโก้จากโกตดิวัวร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตโกโก้รายใหญ่ที่สุดของโลก เกือบผิดสัญญาส่งสินค้าเนื่องจากเมล็ดโกโก้ไม่เพียงพอ

แอฟริกาตะวันตกประสบกับคลื่นความร้อนรุนแรงในเดือนกุมภาพันธ์ อุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส (104 องศาฟาเรนไฮต์) ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นในรอบทุก 100 ปี แต่ปัจจุบันกลับเกิดขึ้นทุก 10 ปี

และด้วยสภาพอากาศที่ย่ำแย่ โกโก้อาจต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีกว่าที่ต้นจะสามารถให้ผลผลิตได้ในปริมาณเพียงครึ่งปอนด์ ปัจจุบันต้นโกโก้โตเต็มวัยให้ผลผลิตโกโก้น้อยลง และไร่โกโก้ส่วนใหญ่ทั่วโลกก็ผ่านพ้นช่วงที่ให้ผลผลิตสูงสุดไปแล้ว

 

โกโก้เป็นพืชที่ค่อนข้างอ่อนไหวกับสภาพอากาศพอสมควร ต้องการอุณหภูมิที่สม่ำเสมอ ความชื้นสูง ฝนตกชุก ดินที่มีไนโตรเจนสูง ระบบนิเวศที่ดีที่สุดสำหรับต้นโกโก้คือป่าฝน โกโก้ส่วนใหญ่ของโลกผลิตโดยเกษตรกรที่มีพื้นที่น้อยกว่า 5 เอเคอร์ แต่ปัญหาสำคัญของผู้ปลูกโกโก้ คือ เกษตรกรส่วนใหญ่ถางป่าเขตร้อนเพื่อปลูกต้นโกโก้ต้นใหม่แทนที่จะนำพื้นที่เดิมมาใช้ซ้ำ ทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าครั้งใหญ่ในแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเคยมีการสำรวจออกมาว่า 70% ของการตัดไม้ทำลายป่าอย่างผิดกฎหมายของประเทศนี้เกี่ยวข้องกับการปลูกโกโก้

บริษัทผู้ผลิตช็อกโกแลต Cadbury อย่าง Mondelez International ตระหนักถึงวิกฤตดังกล่าว และได้ทุ่มทุนเพื่อศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังถึง 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อต่อต้านกับปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าโกโก้ การใช้แรงงานเด็ก และความยากจนในกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะปลูก

สภาพอากาศแปรปรวนกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ ที่ส่งผลต่อคุณภาพของเมล็ดโกโก้ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างกำลังเร่งศึกษาการตัดแต่งยีนโกโก้โดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อผลิตต้นกล้าที่สามารถรับมือกับสภาพอากาศที่ต่างไปจากเดิมได้  ซึ่งหากทำสำเร็จเทคนิคนี้ยังสามารถนำไปแก้ไขพืชผลที่ใกล้สูญพันธุ์ชนิดอื่นได้ด้วย

 

ประเทศผู้ผลิตโกโก้รายใหญ่ของโลก

แอฟริกาตะวันตกเป็นที่ตั้งของประเทศผู้ผลิตโกโก้รายใหญ่ที่สุดในโลกด้วยผลผลิต 4 ล้านตันต่อปี แต่โดยรวมการผลิตโกโก้ทั่วโลกจะอยู่ที่ 6.5 ล้านตันต่อปี

โกตดิวัวร์ 2.2 ล้านตัน

กาน่า 1.1 ล้านตัน

อินโดนีเซีย 6 แสนตัน

เอกวาดอร์ 3 แสนตัน (คาดจะแซงหน้ากาน่าในอีก 3-5 ปี)

ปริมาณโกโก้ 2.2 ล้านตันนั้น โกตดิวัวร์เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณโกโก้ทั้งหมดทั่วโลก โกโก้จากโกตดิวัวร์ถูกส่งไปให้กับ เช่น เนสท์เล่ มาร์ส และเฮอร์ชีย์

อินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในอันดับ 3 โดยผลิตโกโก้ได้ 667,000 ตัน แต่กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ค่าจ้างต่ำ ผลผลิตตกจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะเกิดอะไรขึ้น

การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งที่เป็นปัญหา คือ อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้การระเหยของน้ำจากพืชและดินเพิ่มขึ้น ปริมาณน้ำฝนก็ไม่เพิ่มขึ้น ดังนั้น สภาพการณ์จะแห้งยิ่งขึ้น การคาดการณ์ได้นำไปสู่การคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 โกโก้จะสูญพันธุ์ หากยังไม่มีนวัตกรรมใด ๆ ออกมา

ผลกระทบหลัก คือ ผู้บริโภคต้องรับมือกับราคาสินค้าช็อกโกแลตที่แพงขึ้น เนื่องจากอุปทานโกโก้ทั่วโลกที่ลดลง ไวท์ช็อกโกแลตคุณภาพดีจะขาดตลาดในไม่ช้านี้ เลวร้ายที่สุดคือช็อกโกแลตที่คุณภาพสูงอาจต้องประมูลแข่งกันเหมือนกับไวน์ชั้นดี

สิ่งที่น่าเป็นกังวลคือการลดวัตถุดิบช็อกโกแลต แล้วเพิ่มน้ำมัน น้ำตาลแทน ผลิตภัณฑ์กลุ่มช็อกโกแลตอาจถึงคราวที่ต้องลดสัดส่วนวัตถุดิบ ใช้ช็อกโกแลตน้อยลง แล้วเติมน้ำมันปาล์ม ไขมันพืช น้ำตาล หรือสารเพิ่มปริมาณอื่น ๆ เข้ามาแทน เพื่อรับมือกับราคาที่ผันผวน ส่งผลให้คุณภาพลดลง

ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายเจ้า ต้องเร่งเดินหน้าให้ความสำคัญกับการดูแลที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งการใช้ระบบติดตามผ่านดาวเทียม เทคโนโลยีนี้ทำให้บริษัทต่าง ๆ มองเห็นแหล่งปลูก โกโก้ ได้ชัดเจนขึ้น ทำให้สามารถจัดหาวัตถุดิบจากพื้นที่ปลอดการทำลายป่าที่ได้รับการยืนยันได้ง่ายขึ้น

และมีการก่อตั้ง Cocoa and Forests Initiative (CFI) เพื่อยุติการตัดไม้ทำลายป่าและฟื้นฟูพื้นที่ป่า ส่วนสหภาพยุโรปก็ขยับออกกฎหมายใหม่ ห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่าในตลาดของสหภาพยุโรป

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer