Trend/ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้ระบบโทรคมนาคมไล่ตั้งแต่อินเทอร์เน็ต เครือข่ายออนไลน์ และสัญญาณไวไฟ (Wi-Fi) รวมไปถึงการเชื่อมต่อกันของอุปกรณ์ในรูปแบบต่าง ๆ คือสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน แบบเดียวกับไฟฟ้าและน้ำประปาไปแล้ว
และเราจะยิ่งเห็นความสำคัญเมื่อระบบขัดข้อง ถูกโจมตี หรือล่มขึ้นมา เพราะการดำเนินชีวิตจะสะดุดทันที โดยหากสถานการณ์ดังกล่าวกินเวลานานและเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง แน่นอนว่าย่อมกลายเป็นข่าวใหญ่

เหมือนวิกฤต CrowdStrike เมื่อกรกฎาคม 2024 หลังบริษัทดูแลระบบความปลอดภัยออนไลน์สัญชาติอเมริกันชื่อเดียวกันอัปเดตซอฟต์แวร์บนระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ทั่วโลก เป็นผลทำให้คอมพิวเตอร์สำหรับจองตั๋วตามสนามบินถึง 8.5 ล้านเครื่องทั่วโลกใช้การไม่ได้

และการดาวน์โหลดตั๋วผ่านสมาร์ตโฟนไม่สามารถทำได้เช่นกัน จนกระทบต่อการเดินทางด้วยเครื่องบินอยู่พักใหญ่
มีการประเมินว่าวิกฤต CrowdStrike สร้างความเสียหายสูงถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 335,000 ล้านบาท) จนผู้บริหารของ CrowdStrike ต้องไปให้ปากคำกับคณะกรรมาธิการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ พร้อมรับปากว่าจะดูแลระบบให้ดีและไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก
วิกฤต CrowdStrike ยังทำให้เกิดประเด็นอีกหนึ่งที่แตกออกมา นั่นคือ หากเกิดเหตุการณ์ใกล้เคียงกันอีก ซึ่งอาจเรียกรวมได้ว่า “ระบบสารสนเทศ” หรือ “ระบบไอทีล่ม”

ไม่ว่าจะเป็นจากการอัปเดตระบบดังกรณีของ CrowdStrike หรือถูกแฮกเกอร์แฮกเพื่อเรียกค่าไถ่ในระบบสาธารณูปโภคหรือบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา จะรับมือสถานการณ์และกู้วิกฤตกันอย่างไร
ตามรายงานของ BBC ระบุว่าทางออกในการคลี่คลายสถานการณ์เบื้องต้นคือการหันไปหาของใกล้ตัวที่ไม่ต้องใช้ทั้งไฟฟ้าและการเชื่อมต่อสัญญาณใด ๆ แต่สิ่งที่เรามักหลงลืมไปก็คือกระดาษกับปากกา

รายงานดังกล่าวไล่เลียงสถานการณ์จากการที่ผู้โดยสารและทีมงานของสายการบินหันมาใช้กระดาษกับปากกาหลังเกิดวิกฤต CrowdStrike และต่อเนื่องไปสู่การรับมือด้วยวิธีการเดียวกันของโรงพยาบาลในฝรั่งเศส หรือฝ่ายปกครองท้องถิ่นในอังกฤษ
พร้อมกันนี้ยังมีการยกตัวอย่าง Norsk Hydro บริษัทพลังงานทดแทนของนอร์เวย์ ที่มีโรงงานผลิตอะลูมิเนียมด้วย ซึ่งเล็งเห็นว่าต้องเตรียมความพร้อมเมื่อระบบไอทีล่ม โดยมีการกลับมาใช้กระดาษ ปากกา หนังสือคู่มือ ระบบโทรศัพท์ และโทรสาร รวมไปถึงการไปซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กใหม่จำนวนหนึ่งมาใช้ชั่วคราว

ในปี 2019 บริษัทแม่และสาขาในอีก 40 ประเทศก็ได้ใช้แผนรับมือนี้กันจริง ๆ หลังระบบไอทีถูกแฮก และฝ่ายบริหารตัดสินใจไม่ยอมจ่ายค่าไถ่ให้แฮกเกอร์
โฆษกของ Norsk Hydro เล่าย้อนถึงวิกฤตดังกล่าวว่า แม้ช่วงแรกจะมีความแตกตื่นกันบ้าง แต่หลังจากตั้งสติได้และเดินหน้าทำตามแผนรับมือที่ซ้อมกันอยู่เป็นประจำ ก็สามารถกลับมาเดินหน้าสายการผลิตต่อได้ในเวลาไม่นาน และกลับสู่ปกติเมื่อทีมไอทีปลดล็อกรหัสของแฮกเกอร์ได้
รายงานของ BBC ยังระบุด้วยว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กังวลถึงข้อมูลสำคัญและจำเป็นต่าง ๆ จึงกำหนดให้การว่าความและพิจารณาคดีต่าง ๆ ในประเทศยังต้องมีการส่งเอกสารหลักฐานเป็นกระดาษและธัมบ์ไดรฟ์เข้ารหัส ควบคู่ไปกับข้อมูลทางเมลและออนไลน์
รายงานของ BBC สรุปทิ้งท้าย โดยอิงจากบริษัทดูแลความปลอดภัยทางไซเบอร์ว่า ในช่วงไม่กี่ปีมานี้มีลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยทุกบริษัทที่ดูแลอยู่ก็ได้มีการให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า
นอกจากมีทีมไอทีและบริษัทดูแลความปลอดภัยทางไซเบอร์แล้ว ควรมีการเก็บข้อมูลสำรองไว้ และหาระบบเซิร์ฟเวอร์ที่ปลอดภัย พร้อมทั้งควรมีแผนรับมือที่เริ่มต้นด้วยกระดาษกับปากกาเอาไว้ด้วย

ซึ่งถือเป็นการสะท้อนว่า แม้เทคโนโลยีการสื่อสารจะทำให้ไลฟ์สไตล์และการทำงานสะดวกขึ้นมาก แต่มันก็เป็นสัญญาณเตือนเช่นกันว่า เราอยู่ในยุคที่ระบบทุกอย่างเชื่อมต่อกันอย่างยิ่งยวด (Hyper-connected) และพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างมาก
ซึ่งหากการสื่อสารหรือระบบไอทีล่มขึ้นมา การดำเนินชีวิต การทำงาน และเศรษฐกิจอาจสะดุด ดังนั้น ทักษะการใช้อุปกรณ์พื้นฐานในการทำงาน เช่นการใช้กระดาษกับปากกา จึงไม่ควรถูกหลงลืมไป/theguardian, bbc
–
