Trend/หนึ่งใน “ความเป็นญี่ปุ่น” ที่สร้างความประทับใจให้คนทั่วโลกคือการบริการอย่างเต็มที่และใส่ใจ หรือ โอโมเตนาชิ เช่น กลุ่มพนักงานมาตั้งแถวยืนส่งลูกค้าหน้าโรงแรมจนรถลับตาไป และการห่อสินค้าอย่างประณีต

โอโมเตนาชิ นี่เองเป็นเคล็ดลับทำให้ทั้งร้านอาหารและโรงแรมญี่ปุ่นมีลูกค้ากลับมาใช้บริการอีกและเพิ่มยอดขาย
โดยเคยมีการวิเคราะห์กันว่า เอกลักษณ์ดังกล่าวอาจเป็นตัวช่วยภาคบริการญี่ปุ่นให้ยังเดินหน้าต่อไปได้ ในยุคที่ขาดแคลนแรงงานจากวิกฤตประชากร และช่วยไม่ให้คนถูกหุ่นยนต์แย่งงาน
ทว่าขณะเดียวกัน โอโมเตนาชิ ก็เป็นหนึ่งในที่มาของปัญหาใหญ่ในภาคบริการจนฝ่ายปกครองต้องออกมาตรการป้องปราม

ฝ่ายปกครองกรุงโตเกียว ออกกฎป้องกันพนักงานจากพฤติกรรมคุกคามของลูกค้า หรือ คาสุฮาระ โดยเบื้องต้นใช้เฉพาะภาคบริการก่อน และจะครอบคลุมไปถึงวงการอื่น ๆ เช่น ร้านอาหาร คอลเซ็นเตอร์ และพนักงานหรือผู้ประกอบอาชีพในภาคขนส่งมวลชนต่อไป
มาตรการดังกล่าวจะทำให้พนักงานมีสิทธิในการไม่ต้องไปให้บริการ ขอโทษ หรือชดเชยต่าง ๆ กับลูกค้าที่ทำตัวเข้าข่ายคุกคาม
ส่วนบริษัทต้นสังกัดของพนักงานก็สามารถฟ้องร้องลูกค้าที่ทำตัวไม่เหมาะสมเหล่านี้ได้อีกด้วย

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากความไม่พอใจของสหภาพแรงงาน และผลสำรวจความคิดเห็นต่าง ๆ ที่ชี้ว่า พนักงานในภาคบริการทั้งของเอกชนและหน่วยงานรัฐบาลญี่ปุ่นต้องได้รับผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจจาก คาสุฮาระ
ท่ามกลางกรณี คาสุฮาระ ที่ปรากฏเป็นข่าวและตามสื่อโซเชียลไม่หยุดหย่อน เช่น ผู้ช่วยผู้จัดการซูเปอร์มาร์เก็ตที่ไปถึงบ้านลูกค้าเพื่อลดความไม่พอใจจากลูกค้าที่อ้างว่า ทางซูเปอร์ฯ ขายเต้าหู้หมดอายุ
ซึ่งเมื่อไปดูก็พบว่า เป็นเต้าหู้เก่าที่ลูกค้าซื้อมานานก่อนกรอบเวลาที่ร้องเรียน โดยเขาก็ไม่พูดอะไรเพราะไม่อยากเสียลูกค้าไป
แต่นอกจากลูกค้าจะไม่กลับมามองว่าเป็นความผิดของตัวเองแล้ว ยังสั่งให้ผู้ช่วยผู้จัดการรายนี้ต้องกราบขอโทษอีกด้วย
ขณะที่เจ้าหน้าที่หญิงของส่วนราชการในกรุงโตเกียว ก็ถูกคนชราทั้งต่อว่าและสาปแช่ง หลังปฏิเสธให้บริการเพราะคนชราต้นเรื่องไม่ได้ลงทะเบียนตามกฎระเบียบที่วางไว้
โดยเธอกล่าวว่า คนชราคนนี้มองเธอเหมือนเธอไม่ใช่คน และคิดเอาเองว่าจะทำอย่างไรก็ได้กับเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานหรือบริการให้คุ้มภาษีที่จ่ายไป
ด้านสื่อญี่ปุ่นรายงานว่า ผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างผู้ที่ทำงานภาคบริการจำนวน 33,000 คน ในกรุงโตเกียวช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีถึง 46.8% ที่ระบุว่า เคยเจอเหตุการณ์คาสุฮาระ
ขณะที่ฝ่ายปกครองอีกหลายเมืองของญี่ปุ่น เช่น ฮอกไกโด ไซตามะ มิเอะ เกียวโต มิยาซากิ และ อากิตะ ก็มีแผนจะออกกฎเพื่อสกัด คาสุฮาระ
และช่วยให้พนักงานภาคบริการในพื้นที่ทำงานได้โดยไม่ต้องหวาดกลัว อันจะช่วยลดการเกิดปัญหาอย่างอื่น เช่น การคุกคามจากคนเมา และการลวนลามทางเพศได้อีกด้วย
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ คาสุฮาระ กลายเป็นปัญหาใหญ่ของญี่ปุ่นจนนำมาสู่การออกมาตรการป้องปรามนี้ ฮิโรมิ ฮิเคอุชิ อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยคันไซ วิเคราะห์ว่า เกิดจากทัศนคติว่าลูกค้าถูกทุกอย่าง หรือจะทำอะไรกับพนักงานก็ได้ และพนักงานก็ต้องก้มหน้ายอมรับ
หรือลูกค้าคือพระเจ้า ซึ่งฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ประกอบกับชาวญี่ปุ่นเองโดยเฉพาะในธุรกิจภาคบริการก็มีแนวคิด โอโมเตนาชิ กำกับอยู่
แต่เมื่อบ่อย ๆ และมากเกินไป ก็กลายเป็นยอม จนเปิดช่องให้ลูกค้าเอาเปรียบหรือคุกคามพนักงาน

สำหรับ คาสุฮาระ เป็นหนึ่งในคำที่ใช้เรียกการคุกคามและสะท้อนปัญหาการคุกคามรูปแบบหนึ่ง ท่ามกลางปัญหาการคุกคามรูปแบบอื่น ๆ ในสังคมญี่ปุ่น เช่น การคุกคามทางเพศ หรือ เจนฮาระ การใช้อำนาจคุกคาม หรือโพวะฮาระ
และการใช้อำนาจคุกคามกับพนักงานหญิงที่ต้องไปเป็นแม่หลังลาคลอด ซึ่งเปิดช่องให้บริษัทบีบให้ออกจากงาน หรือ มาตะฮาระ/asahi, theguardian
–
