ญนน์ โภคทรัพย์ กับความสำเร็จในการเข้ามาบริหาร “กล่องดวงใจ” ของตระกูล “จิราธิวัฒน์”

เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เชิญผู้สื่อข่าวกลุ่มหนึ่งเดินทางไปเยี่ยมชมห้างรีนาเซนเต ในประเทศอิตาลี ที่กลุ่มเซ็นทรัลซื้อมาตั้งแต่ปี 2554

ส่วน ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ CRC บินไปสมทบกับนักข่าวด้วยที่เมืองฟลอเรนซ์ และมิลาน

เป็นการเยี่ยมชม 3 สาขาในกรุงโรม ฟลอเรนซ์ และอิตาลี จากที่มีทั้งหมด 9 สาขา ใน 8 เมือง คือมิลาน, โรม เวีย เดล ตริโตเน, โรม เปียซซาฟิอุเม, ตูริน, ฟลอเรนซ์, คัลยารี, ปาแลร์โม, กาตาเนีย และ มอนซ่า

โดยมี ปิยวรรณ ลีละสมภพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด CRC และผู้จัดการสาขาในแต่ละเมืองเป็นคนพานักข่าวเดินชมและให้ข้อมูล

ส่วนคุณญนน์แยกออกไปเดินดูเองเงียบ ๆ โดยพนักงานหลายคนไม่รู้ว่าผู้ชายเอเชียรูปร่างสูง ๆ คนนี้ คือ “บิ๊กบอส” ตัวจริงของพวกเขาจากเมืองไทย

ตามไปอ่านวิธีคิดในการทำงานของเขา  ผู้บริหารมืออาชีพคนแรกที่เข้ามาบริหาร “กล่องดวงใจ” ของเซ็นทรัลกรุ๊ป ที่ไม่ใช่คนจากตระกูล “จิราธิวัฒน์”

ที่เวียดนาม CRC เป็นผู้นำค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่สุด

ที่อิตาลี ปีที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายนิวไฮทะลุ 1,000 ล้านยูโรเป็นครั้งแรก

ปี 2566 รายได้ของ CRC สูงสุดเป็นประวัติการณ์รวม 248,688 ล้านบาท กำไรสุทธิ 8,016 ล้านบาท

ปีนี้คุณญนน์ได้เข้ามาร่วมงานกับกลุ่มเซ็นทรัล เป็นปีที่ 8

อดีตเขาเคยร่วมงานกับกับบริษัทยูนิลีเวอร์ มานานถึง 17 ปี มีบทบาทสำคัญทั้งด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน การผลิต การขายและการตลาด

หลังจากนั้นเริ่มต้นการทำงานที่ธนาคารไทยพาณิชย์ และล่าสุดได้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก่อนมาร่วมงานกับเซ็นทรัลรีเทล ในปี 2559

เซ็นทรัลรีเทลคือองค์กรที่เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลจิราธิวัฒน์

ญนน์เป็นผู้ขึ้นเวทีแถลงข่าวและประกาศยุทธศาสตร์อนาคตในช่วงเวลานั้นว่าต้องใช้ Digital Centrality เป็นตัวขับเคลื่อน และตอกย้ำว่าจากนี้ไปเทคโนโลยีจะเป็นตัวที่เปลี่ยนแปลงชีวิตคนเราทั้งหมด

วันนี้ CRC เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และไม่ใช่เพียงแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่รวมไปยังประเทศเวียดนามและประเทศอิตาลี ด้วย

เข้าสู่ Luxury Retail Market สร้างชื่อเสียงให้คนไทย

การเข้าสู่ Luxury Retail Market อย่างเต็มรูปแบบในตลาดยุโรปที่เป็นศูนย์กลางแฟชั่นของโลก ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเซ็นทรัล ห้างของนักลงทุนเมืองไทย เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

คุณญนน์บอกว่าเกือบทุกสาขาในอิตาลี หรือเมืองใหญ่อื่น ๆ ในยุโรป เป็น Iconic Landmark และเป็นจุด “Must-visit” ของนักท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย

“แต่ละเมืองที่มาลงทุนจะต่างกับการลงทุนที่เมืองไทยตรงที่ส่วนใหญ่เป็นห้างลักชัวรี ที่มีที่เดียว คู่แข่งไม่เยอะ อย่างในลอนดอน ถ้าไม่นับแฮร์รอดส์ ก็มีที่เดียว โกบุสในสวิตเซอร์แลนด์ แบรนด์อิลลุมที่โคเปเฮเกน เดนมาร์ก ก็มีที่เดียว”

นอกจากอิตาลีที่บริหารโดย CRC แล้วทางกลุ่มเซ็นทรัลยังลงทุนห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงใน 6 เมืองใหญ่ในยุโรปด้วยคือ สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี เดนมาร์ก และสวิตเซอร์แลนด์  ทั้งหมดบริหารโดยเซ็นทรัลกรุ๊ป ที่มี ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร

กลับมาที่กรุงโรม ฟลอเรนซ์ หรือมิลาน จะสังเกตเห็นว่าด้านนอกรอบ ๆ ห้างของรีนาเซนเต มีร้านสแตนด์อะโลนของแบรนด์เนมชื่อดังตั้งอยู่เรียงราย

ทำไมถึงคิดว่าคนจะเข้ามาซื้อของแบรนด์เนมในห้าง ไม่เข้าร้านด้านนอก คุณญนน์ตอบคำถามนี้ว่า

“เดี๋ยวนี้คนนิยมซื้อของแบรนด์เนมในห้างมากขึ้น ไม่ต้องจองคิว และในห้างก็มีหลากหลายร้าน หลายแบรนด์ให้เลือก เข้าร้านโน้นออกร้านนี้เพื่อเปรียบเทียบแบบและราคาในเวลาอันรวดเร็ว”

เร็ว ๆ นี้กลุ่มเซ็นทรัลและ CRC จะซื้อห้างในต่างประเทศเพิ่มอีกหรือไม่

เฉพาะในกรุงโรมรีนาเซนเตมี 2 สาขา ที่มิลานเพิ่งไปเช่าโรงละครเก่าอายุเกือบ 100 ปี พื้นที่ประมาณ 3,000 ตารางเมตร ซึ่งติดกับอาคารหลักของห้างฯ มารีโนเวตใหม่เตรียมเปิดตัวเป็น “Rinascente Odeon Beauty Hall” ในอีกประมาณ 3 ปีข้างหน้า

“คิดว่าที่อิตาลีน่าจะพอแค่นี้ก่อน หาที่ได้ยากมากเพราะส่วนใหญ่เป็นตึกโบราณเก่าแก่ สถาปัตยกรรมสวยงาม ที่รัฐบาลต้องการอนุรักษ์ ทำการก่อเติมได้ยากมาก แม้แต่สาขาที่โรมก็ต้องก่อสร้างครอบโครงสร้างเดิม แต่การรี โนเวตหน้าตาภายในเราจะทำไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ”

ส่วนยอดขายในอิตาลี มาจากลูกค้าโลคอล 59% และนักท่องเที่ยว 41% โดย 5 อันดับแรกมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศอาหรับ จีน ไต้หวัน และบราซิล ตามลำดับ จำนวนลูกค้าผู้ใช้บริการมากกว่า 20 ล้านราย

“นี่ชาวจีนยังกลับมาไม่หมด ถ้ากลับมาหมด ยอดขายเราจะดีกว่านี้อีก” คุณญนน์ย้ำ

“ยังตอบไม่ได้ว่าในต่างประเทศเราจะซื้อห้างมาเพิ่มอีกเมื่อไหร่ ที่ผ่านมากลยุทธ์การเติบโตของเราเป็นแบบ Organic และ Inorganic อะไรก็ได้ที่ฟิตกับยุทธศาสตร์ของเรา  มีศักยภาพ เวลาที่ใช่ ราคาสมควร และจะมาช่วยเสริมแฟลตฟอร์มให้แข็งแรงขึ้นถ้ามีเราก็ซื้อ”

ความท้าทายในการทำธุรกิจในอิตาลีคือการปรับปรุงให้ Traditional Store กลายเป็น Luxury Store ซึ่งทำได้สำเร็จไปแล้ว  ที่เหลือคือเรื่องการขายทางออนไลน์ เพราะคนอิตาลียังไม่นิยมซื้อของออนไลน์ อาจจะต้องใช้เวลา ดังนั้น ในตัวของสาขายังมีความหมายอยู่มาก

ส่วนเศรษฐกิจของอิตาลีมีอัตราการเติบโตเร็วกว่าที่มีการคาดการณ์ โดยคาดว่า GDP ของปี 2567 นี้จะขยายตัวอยู่ที่ 1.0% และอัตราเงินเฟ้อจะลดลงเหลือ 1.3% ทำให้มั่นใจได้ว่า ยังมีโอกาสและเติบโตได้อีกมาก

CRC ผู้นำค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม

คุณญนน์บอกว่านอกจากอิตาลี CRC จะบุกหนักต่อในเวียดนาม

“วันนี้ เราเป็นผู้นำค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม ในปี 2022 เป็นปีที่บูมมากที่สุด ปี 2023 เราเจอเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง ทำให้เราเปิดสาขาใหม่ไม่ได้ แต่จากนี้ไปเราพร้อมบุกอีกครั้ง”

แผนที่วางไว้คือ ในสิ้นปี 2567 CRC มีศูนย์การค้าทั้งหมด 42 แห่ง ร้านค้ามากกว่า 300 แห่ง ครอบคลุม 42 จังหวัด จาก 63 จังหวัดทั่วประเทศ ประกอบไปด้วย 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจฟู้ด, ธุรกิจนอนฟู้ด และธุรกิจพร็อพเพอร์ตี้

ปัจจุบันรายได้จากอิตาลีประมาณ 7% เวียดนาม 18-20% กรุงเทพ 70%

ในอนาคต อีก 4-5  ปี ต้องการเห็นรายได้ประเทศไทย 65% ประมาณ 20-25 เวียดนาม ที่เหลือเป็นอิตาลี

ออนไลน์มาแรงแต่ CRC ยังเดินหน้าต่อในการลงทุนสร้างห้างสรรพสินค้า 

เขาบอกว่าไม่ได้ห่วงเรื่องเมืองไทยคนซื้อออนไลน์มากขึ้น และยังมีห้างใหม่เกิดขึ้นต่อเนื่อง เพราะทุกวันนี้คนไทยเข้าออนไลน์มากก็จริง สนุกกับการท่องโลกออนไลน์ เปิดดูโน่นนั่นนี่ แต่มาจบที่ออฟไลน์

“ที่จบบนออนไลน์ เช่น สินค้า FMCG หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งคนจะตัดสินใจซื้อได้ง่าย อย่างผมไปเดินห้างที่จีนมา แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าบางแห่งจะไม่มีแล้วนะ คนซื้อออนไลน์กันหมด ภาพรวมผมว่าอีกนานมากกว่าจะเป็นออนไลน์ 100% อย่างอิตาลีซื้อผ่านออนไลน์ก็น้อยมาก ยิ่งลักชัวรีแบรนด์มีหลายอย่างที่ออนไลน์ให้ไม่ได้ แต่ห้างเองก็ต้องปรับตัว ต้องทำในสิ่งที่ออนไลน์ทำไม่ได้”

เขาย้ำว่าออนไลน์หลักขายเฉพาะโปรดักส์ ส่วนออฟไลน์ ขายโปรดักส์ เซอร์วิส และประสบการณ์

ส่วนสัดรายได้ออนไลน์กับออฟไลน์ของ CRC อยู่ที่ 18%-82% ขึ้นมาปีละ 1-2% เท่านั้น

“ดูเหมือนน้อยแต่อย่าลืมว่าแค่ 1-2% รายได้จากออนไลน์ก็ประมาณกว่า 30,000 ล้านบาทแล้วนะครับ ส่วนในประมาณ 3-5 ปีข้างหน้าก็หวังไว้ว่า  2 ใน 3 จะเป็นรายได้ออฟไลน์ 1 ใน 3 เป็นรายได้จากออนไลน์”

ความท้าทายที่สุด สำหรับการทำงานในตอนนี้  

“ต้องการให้คนของ CRC ปรับตัวในการเรียนรู้เรื่องเอไอ และนำเอไอมาใช้ประโยชน์ในการทำงานมากขึ้น เอไอจะเป็นตัวขับเคลื่อน productivity แล้วยังคืนเวลาให้คุณได้อีก ตอนนี้เราเองก็นำเอไอมาใช้ในหลาย ๆ จุด”

ญนน์ โภคทรัพย์ ย้ำว่า ถ้าจะตามผู้บริโภคให้ทัน ต้องการเป็นผู้นำเทรนด์ การบริหารบิ๊กดาต้า และเรื่องการใช้เอไอเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก

 

 

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline

 

 

 

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer