การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้หรือไม่: NPR
หลังสิ้นสุดการนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 47 ปฐมบทใหม่แห่งประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นเขียนขึ้นอีกครั้ง แน่นอนว่าทั้งโลกจับตามองศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีระหว่างฝ่าย คามาลา แฮร์ริส จากเดโมแครต และ โดนัลด์ ทรัมป์ จาก รีพับลิกัน และผลการเลือกตั้งก็เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ นั่นคือทรัมป์ชนะไปด้วยคะแนนท่วมท้น
ต้องบอกเลยว่าภูมิทัศน์ทางการเมืองกำลังเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งจาก เมื่อคำมั่นสัญญาในการหาเสียงและข้อเสนอนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สะท้อนก้องไปทั่วห้องโถงแห่งวาทกรรมของอเมริกา ขณะที่อเมริกากำลังจะได้ผู้นำคนใหม่ (แต่หน้าเก่า) ในเกมการเมืองและผลประโยชน์ก็มีกลุ่มผู้ชนะและผู้แพ้ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากนโยบายที่ทรัมป์ได้หาเสียงไว้ ในบทความนี้เราจะพาคุณไปดูว่าทรัมป์ประกาศนโยบายอะไรไว้ และสิ่งเหล่านี้ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์
ทรัมป์สัญญาอะไรไว้กับคนอเมริกัน
เชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่ยังรู้วีรกรรมสมัยที่โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของอเมริกา
ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกของโดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งแต่ปี 2017 ถึง 2021 นโยบายและการกระทำหลายอย่างของทรัมป์ดูจะสร้างความขัดแย้งและสร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนทั่วโลก ทั้งการสร้างกำแพงป้องกันผู้อพยพ ตั้งตัวเป็นศัตรูทั้งทางการค้าและทางทูตแบบเต็มตัว หรือแม้กระทั่งการออกจากภาคีสิ่งแวดล้อม แบบไม่เอาเรื่องสิ่งแวดล้อมเลย เรียกได้ว่าแสบสุด ๆ และก็ดูเหมือนว่าเมื่อเขากลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้งนอกจากจะสานต่อสิ่งที่เคยทำไว้ ยังอาจเพิ่มดีกรีความเข้มข้นของนโยบายได้อีกด้วย
ผลักดันผู้อพยพ
ในปี 2016 ทรัมป์ผุดแคมเปญหาเสียงเพื่อเอาใจอเมริกันชนผู้ไม่นิยมชมชอบให้มีผู้อพยพเข้ามาในประเทศ ในครั้งนั้นทรัมป์ถึงขั้นบอกว่าถ้าเขาชนะการเลือกตั้งเขาจะสร้างกำแพง นี่จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “สร้างกำแพง!” และเมื่อเขาชนะการเลือกตั้งเขาก็สร้างกำแพงจริง ๆ จนสื่อนิยามว่านี่คือ “โครงการเนรเทศหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” ทรัมป์มีการเรียกร้องให้ใช้กองกำลังป้องกันชาติและเพิ่มอำนาจให้กับกองกำลังตำรวจในประเทศในการจัดการกับเรื่องดังกล่าว
มาในปี 2024 ประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งใจจะดำเนินการเนรเทศผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารถูกต้องตามกฎหมายจำนวนมากออกจากสหรัฐ และวางแผนที่จะส่งกองกำลังทหารเข้ามาช่วยดำเนินการในเรื่องนี้ นอกจากนี้ ทรัมป์ยังตั้งใจที่จะยกเลิกนโยบาย “จับแล้วปล่อย (Catch and Release)” และกักขังผู้อพยพที่ถูกจับขณะเดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ ทรัมป์หวนกลับไปใช้นโยบายการแยกครอบครัวผู้อพยพเพื่อป้องกันการอพยพที่ผิดกฎหมาย
ส่วนโปรเจกต์ เส้นทางสู่การเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าเขาตั้งเป้าที่จะยกเลิกโครงการ Deferred Action for Childhood Arrivals (DACA) เช่นเดียวกับการให้สัญชาติ “โดยกำเนิด” สำหรับเด็กที่เกิดในสหรัฐฯ แต่พ่อแม่ที่ไม่มีเอกสารรับรองการเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ที่ถูกต้อง
เรื่อง ผู้ลี้ภัยและผู้ขอสถานะลี้ภัย ประธานาธิบดีทรัมป์มีแผนที่จะฟื้นฟูโครงการ Remain in Mexico และยกเลิกการกำหนดสถานะคุ้มครองชั่วคราว รวมถึงยุติโครงการทัณฑ์บนสำหรับผู้อพยพที่ประสบวิกฤตด้านมนุษยธรรม นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังสัญญาว่าจะออกกฎห้ามการเดินทางเข้าสหรัฐฯ สำหรับผู้ที่มาจากประเทศหรือภูมิภาคที่มีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่
เรื่อง การรักษาความปลอดภัยชายแดน ประธานาธิบดีทรัมป์ให้คำมั่นว่า จะสร้างกำแพงชายแดนให้เสร็จ และใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อหยุดยั้งการอพยพที่ผิดกฎหมาย รวมถึงการเคลื่อนย้ายทหารหลายพันนายที่ประจำการในต่างประเทศไปยังชายแดนทางใต้
กำแพงป้องกันผู้ลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายของสหรัฐฯ เกิดขึ้นครั้งแรกในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์: Euro News
เดินเครื่องเรื่องเศรษฐกิจ ภาษี และกำแพงภาษีการค้า
เรื่องนโยบายการต่างประเทศและการค้าเป็นหนึ่งในเรื่องที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจมากที่สุดเรื่องหนึ่ง เพราะในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกเขาค่อนข้างเน้นอุตสาหกรรมและการค้าในประเทศมาก่อนต่างประเทศ ทำให้ในตอนนั้นแทบจะเรียกได้ว่าอเมริกาเปิดวอร์กับประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอย่างจีนกันแทบจะวันเว้นวัน ทีนี้เรามาดูกันว่าทรัมป์ 2 จะยังคงคอนเซ็ปต์เรื่องการค้าและการต่างประเทศเหมือนหรือแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างไร
เริ่มกันที่เรื่องการต่างประเทศ ในส่วนของความสัมพันธ์กับ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ประธานาธิบดีทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะยืนหยัดเคียงข้างอิสราเอลและฟื้นฟูสันติภาพในตะวันออกกลางด้วยการสร้างเครือข่ายพันธมิตรของสหรัฐฯ ในภูมิภาคขึ้นมาใหม่ เขาพูดสนับสนุนภารกิจของอิสราเอล
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับ จีน นั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สัญญาว่าจะแสดงจุดยืนที่ แข็งกร้าว ต่อจีน แต่ปฏิเสธที่จะบอกว่า เขาจะส่งทหารไปปกป้องไต้หวันหรือไม่ อีกทั้งทรัมป์เองยังวางแผนที่จะเพิกถอนสถานะการค้าของชาติที่เป็นมหามิตรของจีนอีกด้วย รวมถึงและจะป้องกันไม่ให้จีนเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ
ในส่วนของ รัสเซียและยูเครน ประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งใจว่าจะยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนในวันแรกของการดำรงตำแหน่ง โดยสหรัฐฯ อาจลดการสนับสนุนยูเครนเพื่อพยายามบีบให้มีการยุติข้อพิพาท โดยอ้างว่าสหรัฐฯ เสี่ยงต่อสงครามโลกครั้งที่ 3 หากยังคงดำเนินความขัดแย้งต่อไป ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์นาโต้เกี่ยวกับเรื่องงบประมาณสงคราม โดยสหรัฐฯ นั้นจ่ายเงินให้กับนาโต้มากเกินไปในขณะที่ประเทศในแถบยุโรปแทบไม่ค่อยได้ช่วยเหลือในส่วนนี้เลย
ด้านความสัมพันธ์กับ เม็กซิโกและแคนาดา ทรัมป์ตั้งใจแจ้งอย่างเป็นทางการต่อเม็กซิโกและแคนาดาว่าเขาตั้งใจจะใช้ข้อตกลงร่วม สหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (United States-Mexico-Canada Agreement: USMCA) ในการเจรจาใหม่ 6 ปี เพื่อบรรลุข้อตกลงที่เขาเห็นว่าดีกว่า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์
ส่วนเรื่องสำคัญที่สุดที่ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ จับตามองท่าทีของสหรัฐฯ อยู่ก็คือเรื่อง ภาษีศุลกากร เรื่องนี้ใครที่ติดตามเรื่องเศรษฐกิจการค้าอยู่คงไม่ต้องสงสัยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามาแล้วสานต่อเรื่องการกีดกันทางการค้าไม่ให้สินค้าจากต่างประเทศเข้ามามีอำนาจเหนือสินค้าจากอเมริกาอย่างแน่นอน โดยทรัมป์ตั้งใจจะเพิ่มภาษีศุลกากรกับสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ถือบันทึกข้อตกลงประธานาธิบดีที่มีลายเซ็นของเขา ซึ่งมุ่งเป้าไปที่สิ่งที่เขาเรียกว่าการรุกรานทางเศรษฐกิจของจีน ที่ทำเนียบขาวในวอชิงตันเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2561: Foreign Policy
โดยให้เหตุผลว่าการขึ้นภาษีศุลกากรและการใช้ภาษีศุลกากรพื้นฐาน ควบคู่ไปกับการลดภาษีในประเทศ จะทำให้สหรัฐฯ กลับมาเป็นมหาอำนาจด้านการผลิตอีกครั้ง และทรัมป์ก็ไม่ชอบข้อตกลงการค้าแบบพหุภาคีที่มีหลายประเทศรวมอยู่ในนั้น เพราะเมื่อมีหลาย ๆประเทศแปลว่า ในรายละเอียดก็ต้องบังคับให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน แต่เขาชอบข้อตกลงทางการค้าแบบหนึ่งต่อหนึ่งกับประเทศคู่ค้ามาก เพราะสามารถปรับแต่งรายละเอียดในข้อตกลงแบบเฉพาะตัวได้ดีกว่า ดังนั้น โอกาสที่เราจะได้เห็นการนำข้อตกลงการค้าแบบทวิภาคีกลับมาทบทวนใหม่อีกรอบ เช่น การทบทวนข้อตกลงการค้าเกาหลี-สหรัฐฯ (KORUS) และ USMCA
การป้องกันประเทศ
อย่างที่รู้ว่าแคมเปญหาเสียงเดิม Make America Great Again หรือ ทำให้อเมริกากลับมาครองความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ทรัมป์มีเจตจำนงชัดเจนว่าเขาให้ความสำคัญกับอเมริกามากๆชนิดที่ว่ายังไงผลประโยชน์ของประเทศก็ต้องมาก่อน รวมไปถึงเรื่องการป้องกันประเทศ
ถ้าใครอ่านใจทรัมป์ออกจะรู้ว่าแนวทางนโยบายของทรัมป์ในเรื่องบทบาทของสหรัฐฯ บนเวทีโลกนั้นโดดเดี่ยวทางการทูต และไม่แทรกแซงทางการทหารประเทศอื่นใด และกีดกันทางการค้าทางเศรษฐกิจมากกว่าที่สหรัฐฯ เคยทำมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง
แต่รายละเอียดมีความซับซ้อนมากกว่านั้น ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะขยายกองทัพ สัญญาว่าจะรัดกุมในการใช้จ่ายงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ทรัมป์ยืนกรานว่าเขาจะยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนและสงครามอิสราเอล-ฮามาสได้โดยไม่บอกจะทำอย่างไร
ภาษี
นโยบายภาษีที่ทรัมป์มีจุดมุ่งหมายหลักในการลดภาระภาษีทั้งสำหรับภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป สำหรับภาคธุรกิจ ทรัมป์วางแผนที่จะขยายระยะเวลากฎหมาย Tax Cuts and Job Act ที่กำลังจะหมดอายุ พร้อมทั้งเสนอลดภาษีนิติบุคคลลงจาก 21% เหลือ 15% โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นการผลิตภายในประเทศเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดที่จะนำมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับกิจกรรมการผลิตในประเทศกลับมาใช้อีกครั้ง หลังจากที่ถูกยกเลิกไปในปี 2017
ในส่วนของภาษีบุคคลธรรมดา ทรัมป์ต้องการผลักดันให้กฎหมายภาษีตาม TCJA ให้มีผลบังคับใช้อย่างถาวร แม้ว่าอาจต้องมีการปรับขึ้นภาษีบางส่วนเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
และที่น่าสนใจคือมาตรการลดหย่อนและยกเว้นภาษีใหม่หลายรายการ โดยมีแผนจะนำการหักลดหย่อนภาษีท้องถิ่นแบบไม่จำกัดวงเงิน (State And Local Taxes : SALT) กลับมาใช้ พร้อมทั้งเสนอยกเว้นภาษีสำหรับเงินประกันสังคม รายได้จากทิป และค่าล่วงเวลา นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดที่จะเพิ่มการลดหย่อนใหม่สำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อรถยนต์ และเครดิตภาษีสำหรับผู้ดูแลครอบครัว
การศึกษา
นโยบายการศึกษาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในรัฐบาลทรัมป์มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากรัฐบาลไบเดนอย่างมีนัยสำคัญ ในด้านสินเชื่อนักศึกษา คาดว่าจะมีการปรับเปลี่ยนจากนโยบายการยกหนี้เงินกู้ของรัฐบาลไบเดน โดยอาจมีการเพิ่มความเข้มงวดของกฎระเบียบและการบังคับใช้กฎหมายผ่านสำนักงานความช่วยเหลือนักศึกษาของรัฐบาลกลาง (FSA)
เรื่องการศึกษาทรัมป์อาจเข้ามายุบกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ และดึงระบบการศึกษาให้ไปอยู่ภายใต้รัฐบาลกลาง: Education Week
ในส่วนของการศึกษาระดับอุดมศึกษา มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการปรับปรุงพระราชบัญญัติการศึกษาระดับสูง (High Education Act: HEA) ซึ่งไม่ได้รับการอนุมัติมาตั้งแต่ปี 2551 โดยจะเน้นเพิ่มความรับผิดชอบของสถาบันการศึกษาและปรับปรุงระบบการรับรองคุณภาพ นอกจากนี้ ยังอาจมีการออกกฎระเบียบที่เอื้อประโยชน์ต่อสถาบันการศึกษาที่แสวงหากำไรมากขึ้น
การพัฒนาวิชาชีพเป็นอีกประเด็นสำคัญ โดยคาดว่าจะมีการสนับสนุนโครงการพัฒนากำลังคน ส่งเสริมเส้นทางอาชีพทางเลือก และเน้นการฝึกงานอย่างจริงจัง ในขณะเดียวกัน อาจมีการปรับปรุงกฎเกณฑ์ Title IX ใหม่ โดยเน้นการเพิ่มการคุ้มครองผู้ถูกกล่าวหาในคดีทำร้ายร่างกาย และมีแนวโน้มที่จะยกเลิกโครงการความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการรวมกลุ่ม (DEI) รวมถึงการดำเนินการเชิงบวกในสถาบันการศึกษา
ด้านการบริหารจัดการการศึกษา อาจมีการพิจารณาเก็บภาษีเงินบริจาคของวิทยาลัยเพื่อเป็นแหล่งรายได้ใหม่ แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้ยุบกระทรวงศึกษาธิการ แต่แนวโน้มที่เป็นไปได้มากกว่าคือการลดบทบาทของกระทรวงในระดับรัฐ สำหรับการศึกษาระดับ K-12 คาดว่าจะมีการสนับสนุนนโยบายการเลือกโรงเรียนและส่งเสริมการขยายตัวของโรงเรียนเอกชนในระดับรัฐอย่างแข็งขัน
*ระบบโรงเรียน K-12 หมายถึงระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย (Kindergarten ถึง Grade 12) โดย “K” ย่อมาจาก “Kindergarten” (อนุบาล) และ “12” หมายถึงระดับชั้น Grade 12 หรือมัธยมศึกษาปีที่ 6
ระบบประกันสังคมและประกันสุขภาพ
ในเรื่อง Social Security Medicare และ Medicaid (ถ้าสงสัยว่าคืออะไรแนะนำให้กลับไปอ่านคอนเทนต์เก่าของเราเรื่อง “ชวนมาทำความรู้จักระบบดูแลสุขภาพในอเมริกาว่าเป็นอย่างไร และแพงจริงหรือไม่”) ทรัมป์ยืนกรานว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรในเรื่องนี้
นโยบายสาธารณสุขในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการ ในด้านระบบประกันสุขภาพ ทรัมป์พยายามยกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ป่วยและการดูแลสุขภาพราคาประหยัด หรือ Affordable Care Act: ACA โดยเสนอแนวคิดการออกกฎหมายใหม่ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า แม้จะไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจน
ในประเด็นสุขภาพสืบพันธุ์ การแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกา 3 คนของทรัมป์ส่งผลให้เกิดการพลิกคำตัดสินคดี Roe v. Wade นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้แต่ละรัฐมีอำนาจในการออกกฎหมายควบคุมด้านสุขภาพสืบพันธุ์ด้วยตนเอง
ด้านการควบคุมราคายา ทรัมป์ลงนามในกฎหมายสำคัญสองฉบับ คือ Know the Lowest Price Act และ Patient Right to Know Drug Prices Act ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อความโปร่งใสในการกำหนดราคายา โดยห้ามร้านขายยาปิดบังข้อมูลราคาจากผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม เขาไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลไบเดนที่อนุญาตให้ Medicare เจรจาต่อรองราคายา
สำหรับการดูแลทหารผ่านศึก ทรัมป์ลงนามในพระราชบัญญัติภารกิจ VA ซึ่งเพิ่มทางเลือกให้ทหารผ่านศึกสามารถรับบริการจากสถานพยาบาลนอกระบบ VA ได้ โดยมุ่งเน้นการขยายการเข้าถึงบริการและลดค่าใช้จ่ายในการรักษา
ในส่วนของการปฏิรูป FDA และระบบสาธารณสุข ทรัมป์เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อศึกษาสาเหตุของโรคเรื้อรัง พร้อมทั้งมีแนวทางปฏิรูป FDA ที่สำคัญ ได้แก่ การลดหรือยกเลิกค่าธรรมเนียมผู้ใช้ และการควบคุมการใช้สารเคมีในอาหาร นโยบายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการปรับเปลี่ยนระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาในช่วงการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์
สภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม และพลังงาน
ในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรกของโดนัลด์ ทรัมป์ ทรัมป์มุ่งเน้นนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในด้านพลังงานและเศรษฐกิจ เขามีจุดยืนที่แข็งกร้าวในการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงไปใช้พลังงานสะอาด โดยมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ทรัมป์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติภายในประเทศ โดยตั้งเป้าที่จะทำให้สหรัฐฯ เป็นมหาอำนาจด้านพลังงานของโลก เขาสนับสนุนการเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันบนที่ดินของรัฐ และต้องการลดขั้นตอนการอนุมัติใบอนุญาตให้เร็วขึ้น ในขณะเดียวกัน เขาต่อต้านการสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะการนำเข้าแบตเตอรี่จากจีน
ในด้านสิ่งแวดล้อม ทรัมป์มีท่าทีที่ชัดเจนในการปฏิเสธแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เขามองว่าข้อตกลงปารีสไม่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ และพร้อมที่จะถอนตัวออกอีกครั้งหากได้กลับมาดำรงตำแหน่ง นอกจากนี้ เขายังวางแผนที่จะลดบทบาทของหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง EPA โดยการตัดงบประมาณและลดขอบเขตการทำงาน
การปฏิรูปหน่วยงานรัฐเป็นอีกหนึ่งวาระสำคัญ โดยเฉพาะหน่วยงานด้านสาธารณสุขอย่าง NIH, CDC และ FDA ทรัมป์ต้องการปรับโครงสร้างให้มีขนาดเล็กลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น
ในด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์เน้นการปกป้องการจ้างงานภายในประเทศ โดยอาจใช้มาตรการทางภาษีกับบริษัทที่ย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ เขาต่อต้านแนวคิดการลงทุนแบบ ESG และนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่อาจกระทบต่อการจ้างงาน รวมถึงต้องการยกเลิกเงินทุนที่เหลือจากพระราชบัญญัติลดเงินเฟ้อของรัฐบาลไบเดน
โดนัลด์ ทรัมป์มีแนวคิดชัดเจนในการผลักดันให้สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำด้านพลังงานของโลก โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลภายในประเทศเป็นหลัก เขามองว่ากฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงต้องการผ่อนคลายข้อกำหนดต่าง ๆ ลง
ทรัมป์วางแผนส่งเสริมการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศอย่างเต็มที่ โดยจะลดขั้นตอนการออกใบอนุญาตให้รวดเร็วขึ้น เปิดพื้นที่สาธารณะสำหรับการสำรวจและผลิตพลังงาน รวมถึงยกเลิกข้อจำกัดการส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว นอกจากนี้ ยังต่อต้านนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการถอนตัวจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยกเลิกกฎควบคุมมลพิษจากโรงไฟฟ้าและยานพาหนะ ตลอดจนลดการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนและคัดค้านการอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า
เพื่อลดต้นทุนพลังงาน ทรัมป์เสนอให้ลดภาษีแก่อุตสาหกรรมน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน พร้อมทั้งผ่อนคลายมาตรฐานการใช้เชื้อเพลิงและสนับสนุนการผลิตในประเทศเพื่อลดการนำเข้า ในด้านการแข่งขันกับจีน เขาวางแผนส่งเสริมการผลิตแบตเตอรี่และอุปกรณ์พลังงานในสหรัฐฯ พัฒนาการขุดแร่ธาตุสำคัญภายในประเทศ และสร้างแรงจูงใจให้บริษัทย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ
แนวนโยบายทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นที่จะทำให้สหรัฐอเมริกาพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะขัดแย้งกับแนวทางการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลกก็ตาม ทรัมป์เชื่อมั่นว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานในประเทศจะช่วยสร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีกว่าการมุ่งเน้นพลังงานสะอาด นับเป็นการวางนโยบายที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เหนือการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก
เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ
อ้างอิง
https://www.economist.com/leaders/2024/11/06/welcome-to-trumps-world
https://www.economist.com/leaders/2024/10/31/a-second-trump-term-comes-with-unacceptable-risks
https://apnews.com/article/donald-trump-wins-second-term-policies-de3dcf0f173b42602b258042fd7aaafb
https://www.bbc.com/news/articles/cev90d7wkk0o
–
