ตลาดแคมปิ้งหรือตลาดกลางแจ้ง (outdoor) เติบโตทันทีหลังการล็อกดาวน์จบลง คนออกมาใช้ชีวิตข้างนอก ท่องเที่ยวผ่อนคลาย กิจกรรมกีฬากลางแจ้งกลับมาจัดได้ตามปกติ ทำให้ตลาดกลับมาคึกคักอีกหน

คุณอรรถพล นิติวรคุณาพันธ์ ผู้จัดการแบรนด์ The North Face ประเทศไทย กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทเติบโต double digits เนื่องมาจากการฟื้นตัวของตลาด หากมองในภาพรวมกลุ่มเครื่องแต่งกายซึ่งมี Apparial ค่อนข้างใหญ่ แต่สำหรับกลุ่มเสื้อกันหนาวกลุ่มลักชัวรี The North Face ยังคงครองอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งเกิน 50% และยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งนับเป็นกลุ่มสินค้าหลักของแบรนด์อีกด้วย

อย่างไรก็ดี สตรีทแบรนด์อื่น ๆ ยังสนใจลงเล่นในตลาดเสื้อกันหนาวจำนวนมาก เนื่องจากเทรนด์การเดินทางท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวกลับมา บริษัทจึงต้องขยาย product line ให้ครอบคลุมกลุ่มใหม่ ๆ ทั้งสินค้าสําหรับ technical ที่ใช้สำหรับกิจกรรมกีฬา การเดินทางแบบเฉพาะทาง และไลฟ์สไตล์คอลเลกชันทันสมัย เพื่อสร้างทางเลือกที่หลากหลายให้แก่ผู้บริโภค อาทิ เสื้อยืด สนีกเกอร์ เครื่องประดับ อุปกรณ์แคมปิ้ง ที่เป็นสินค้าไลฟ์สไตล์มากขึ้น

ขยายไลน์โปรดักส์ รับเทรนด์การเปลี่ยนแปลง

ช่วงก่อน Covid-19 สินค้ากลุ่มเสื้อกันหนาวคือ Core Product ของแบรนด์ที่สร้างยอดขายมากกว่า 80% ให้กับ The North Face  ตัวอย่างสินค้าที่เป็นที่นิยมในตลาด เช่น Nuptse jacket หรือที่ทุกคนเรียกว่าแจ็กเก็ตใบเฟิร์นพิมพ์ชนก และ MOUNTAIN LGT GTX TRICLIMATE เสื้อกันลม กันฝน กันหนาว

แต่ปัจจุบันกลุ่มเสื้อกันหนาวลดลงมาเหลือ 50% เพราะสัดส่วนสินค้ากลุ่มอื่นเพิ่มขึ้น  อย่างไรก็ดี การขยับไปทำโปรดักส์ที่ไม่ใช่เสื้อกันหนาวกลับไม่ใช่งานง่าย เช่น เสื้อยืด The North Face ด้วยราคาที่สูง ลูกค้าต้องทำความเข้าใจนานกว่าจะตัดสินใจซื้อได้ ดังนั้น แบรนด์ต้องพยายามสร้างการรับรู้ถึงคุณภาพ นวัตกรรมที่อัดแน่นอยู่ในเสื้อ บางรุ่นมีเทคโนโลยี flash drive เคลือบเนื้อผ้า ซับเหงื่อแห้งเร็ว เพื่อให้ลูกค้ามองเห็นความคุ้มค่าคุ้มเม็ดเงิน

ถึงเวลาเมืองไทยมีแฟลกชิปสโตร์

THE NORTH FACE NEW CONCEPT STORE ปักหมุดสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็น Strategic area ของแบรนด์  รีโนเวตขยับเป็นแฟลกชิปสโตร์เพื่อแสดงอัตลักษณ์ที่เด่นชัดของแบรนด์ ผ่าน Brand Value 5 ประการให้กับเหล่า Urban Explorer ได้แก่ Love Wild, Spark Curiosity, Dare To Disrupt, Create Community และ Lead With Integrity ที่สื่อผ่านสินค้า ดึงดูดกลุ่มลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ ทั้งยังเล็งรีโนเวตสาขาเดิมในโซนจังหวัดท่องเที่ยวและสาขากลางเมืองต่าง ๆ ด้วย

ปัจจุบัน The North Face มีสาขารวมทั้งสิ้น 50 สาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็น standalone shop 13 สาขา และสาขาที่เป็น consignment ในกลุ่มคอมมูนิตี้มอลล์ และ super sport 37 แห่ง รวมถึงช่องทางออนไลน์

ด้านค่าใช้จ่ายต่อบิลสำหรับ The North Face จะค่อนข้างสูง เพราะระดับราคาสินค้าที่พรีเมียม หากแบ่งเป็นช่วง spring และ summer จะอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาทต่อบิล แต่ในช่วงปลายปี กลุ่มเสื้อแจ็กเก็ต Down Jacket ขายดี  ยอดใช้จ่ายต่อบิลจะพุ่งไปถึง 7,000-8,000 บาทต่อบิล

แม้ว่าจะมีกระแสความกังวลเกี่ยวกับกำลังซื้อที่ลดลง แต่เมื่อผู้คนยังคงออกเดินทางท่องเที่ยว สินค้าในกลุ่มเครื่องแต่งกาย (Apparel) ยังคงมีโอกาสเติบโตควบคู่ไปกับไลฟ์สไตล์ที่ออกนอกบ้านของลูกค้า

ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับสินค้าจากจีนที่ทะลักเข้ามาแข่งขันในตลาด แต่ “ความน่าเชื่อถือของแบรนด์” ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกที่ผู้บริโภคมองหา ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้ากันความหนาว หรือชุดอุปกรณ์สำหรับแคมปิ้งและการออกกำลังกาย ล้วนเป็นสินค้าที่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย ดังนั้น ผู้บริโภคมักเลือกแบรนด์ที่สามารถเชื่อมั่นได้ แม้จะต้องจ่ายแพงกว่าก็ตาม

ยิ่งไปกว่านั้น สินค้าเครื่องแต่งกาย (Apparel) ที่เป็นแฟชั่น อาจไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงเท่ากับตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG)

ดึงลูกค้าคนรุ่นใหม่ออกใช้ชีวิตท่องโลก

เทรนด์อย่างหนึ่งที่เห็นตอนนี้ คือ คนรุ่นใหม่ออกใช้ชีวิตตามหาความท้าทาย เพราะเบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิตแบบซ้ำเดิม จึงออกไปท่องเที่ยวผจญภัย ทำกิจกรรมกีฬาต่าง ๆ  ทำให้ตลาดกลางแจ้งกลับมาคึกคัก

แต่กลุ่มลูกค้าหลักของ The North Face เป็นวัยกลางคนอายุ 30-40 ปี ที่มีกำลังซื้อสูง เนื่องจากเป็นสินค้าระดับพรีเมียมที่ค่อนข้างมีราคา แต่คนรุ่นใหม่ก็มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นมาก กลายเป็นกลุ่มลูกค้าที่แบรนด์ต้องให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน

เป็นเหตุให้บริษัทต้องขยายไลน์สินค้าให้มีความหลากหลาย ทั้งเครื่องประดับ เสื้อยืด กระเป๋า รองเท้า ในราคาเอื้อมถึงได้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่สนใจ แต่ได้รับคุณภาพคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย

ปีหน้าคาดว่าจะยังเติบโตแบบ Single Digits เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองโลก สงครามที่ไม่สิ้นสุด ล้วนส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว การซื้อสินค้าเพื่อออกท่องเที่ยวอาจน้อยลงตามไปด้วย

สร้าง Brand Loyalty ผ่านเฟสติวัล

แบรนด์ต้องร่วมสร้างโมเมนต์ที่น่าจดจำร่วมกับลูกค้า เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน เป็นที่มาของงานวิ่งเทรล The north face 100 ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 11 นอกจากนี้ ยังมีช่วง global camming day วันปีนผาโลก ตามด้วยช่วงปลายปี camp festival, snow festival ที่แบรนด์จัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ  เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนได้ลองออกเดินทาง

พรีเซนเตอร์ที่แท้จริงคือลูกค้า

The North Face ต้องยอมรับว่าเป็นแบรนด์ที่มักจะเลือกคนดังระดับสากลมานั่งแท่นพรีเซนเตอร์เสมอ อาทิ ชาอึน  โซมี  มินนี่ วง G-idle บยอนอูซอก เป็นต้น

ขณะที่ไทยเลือก “พลอยไพลิน ตั้งประภาพร” หรือ Pigkaploy ยูทูบเบอร์สาวนักเดินทางที่มีผู้ติดตามหลักล้าน มาพรีเซนต์ความเป็น The North Face ในแบบฉบับของผู้ใช้งานจริง เดินทางผจญภัยจริง จะทำให้ทุกอย่างดูเรียลและเข้าใจง่าย อย่างไรก็ตาม การบอกต่อแบบปากต่อปากของลูกค้าคือ marketing ที่ดีที่สุดสำหรับแบรนด์

ทั้งนี้ ในปี 2567 ยังครบรอบปีที่ 30 ปี ของเสื้อ Himalayan Parka ที่ถูกคิดค้นและออกแบบในปี 1994 ดีไซน์ขึ้นเพื่อร่วมเดินทางกับนักเดินทางมืออาชีพในการผจญภัยบนที่สูง และได้รับการยอมรับจากนักปีนเขาที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน อาทิ Peter Athans, Kit DesLauriers และ Jimmy Chin เพราะมีเทคโนโลยีล้ำสมัย การบรรจุขนห่านที่ผ่านการรับรอง RDS ระดับ 600-fill ผ่านกระบวนการเคลือบกันน้ำ DWR ตีความใหม่ตามสไตล์คลาสสิก ที่ช่วยเพิ่มการสำรวจกลางแจ้งอย่างมีสไตล์ในทุกมิติ

 –


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer