Trends /นอกจากการมอบของขวัญ การร่วมโต๊ะรับประทานอาหารแบบพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว ตกแต่งบ้านด้วยโทนเขียว-แดง และดูหนังที่เรื่องราวเกิดขึ้นในเทศกาลแล้ว เพลงคริสต์มาสก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้เมื่อคริสต์มาสมาถึงในทุก ๆ ปี

นี่ทำให้บรรดานักร้องและวงดนตรี โดยเฉพาะประเทศแถบตะวันตกหรือที่นับถือศาสนาคริสต์ทำเพลงคริสต์มาสออกมากันไม่ขาดสาย เช่น Last Christmas ของ Wham! ในยุค 80, All I Want for Christmas is You ของ Mariah Carrie ในยุค 90

ตามด้วย Only My Wish ของ Britney Spears ในยุค 2000 และ This Christmas ที่ร้องโดย Sabrina Carpenter กับ Tyla รวมไปถึง Christmas Magic ที่ร้องโดย Laufey ที่เพิ่งออกมารับเทศกาลคริสต์มาสปี 2024

นอกจากนี้ ยังมีเพลงคริสต์มาสที่นำเพลงฮิตของเทศกาลอย่าง Jingle Bell และ Joy to the World มาทำใหม่เป็นแนวเพลงต่าง ๆ ตามยุคสมัย หรือแต่งขึ้นใหม่เพื่อออกในปีนั้น ๆ ซึ่งก็เป็นการสะท้อนถึงแนวเพลงที่กำลังดังในแต่ละยุค

เช่น Christmas in the Hollis เมื่อปี 1987 ของวง Run DMC ที่มาในแนว Hip-Hop, Christmas Time (Don’t Let the Bells End) ของวง The Darkness ในปี 2003 ที่มาในแนว Hard Rock และ Beautiful Christmas ของ วง Red Velvet กับ Aespa ที่มาแบบ K-pop เมื่อปี 2022 

แล้วเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมศิลปินนักร้องจึงยังคงทำเพลงคริสต์มาสออกมาอย่างต่อเนื่อง

ลิขสิทธิ์เปิดกว้างสร้างโอกาสทองทำเงิน: สาเหตุแรกเลยที่บรรดาศิลปินยังทำเพลงคริสต์มาสออกมา โดยเฉพาะการนำต้นฉบับอย่าง Jingle Bell, Joy to the World, White Christmas, Santa Claus is Coming to Town มาทำใหม่เมื่อเทศกาลนี้มาถึงในทุก ๆ ปี คือ เพลงต้นฉบับเหล่านี้เป็นสาธารณสมบัติ (Public Domain) ตามกฎหมายสหรัฐฯ

สหรัฐฯ เริ่มประกาศใช้กฎหมายนี้เมื่อปี 1923 โดยทางหนึ่งก็เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของผู้สร้างผลงานและให้หารายได้จากค่าลิขสิทธิ์ตามกรอบเวลา แต่อีกทางหนึ่งก็เป็นการกระตุ้นสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาก่อนที่กรอบเวลาจะหมด และหลังจากนั้นใคร ๆ ก็สามารถนำผลงานนี้ไปต่อยอดหรือดัดแปลงได้

จากเงื่อนไขดังกล่าวและประกอบกับเพลงเหล่านี้แต่งขึ้นมาก่อนปี 1923 จึงสามารถนำเพลงคริสต์มาสฮิต ๆ มาทำใหม่เป็นเวอร์ชั่นต่าง ๆ ได้แบบไม่ติดลิขสิทธิ์ โดยในยุคที่ยังฟังเพลงกันผ่านแผ่นเสียง เทป และซีดี ศิลปินนักร้องจึงทำเพลงคริสต์มาสที่คุ้นหูออกมาแล้วใส่ในอัลบัม ควบคู่ไปกับเพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่ได้แบบไร้กังวล

การเปิดกว้างนี้ส่งต่อมาถึงปัจจุบัน ผ่านเพลงคริสต์มาสสารพัดแนวที่หาฟังได้ตามแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และ Youtube นั่นเอง  

ซาวด์แทร็กงานเฉลิมฉลองต้องเปิดซ้ำ:  สาเหตุต่อมาที่บรรดาศิลปินยังทำเพลงคริสต์มาสกันออกมาคือ เป็นเพลงที่คนส่วนใหญ่ทั่วโลกต้องใช้เปิดเพื่อสร้างบรรยากาศในการเฉลิมฉลองของเทศกาลนี้จึงฟังได้ไม่เบื่อและเปิดซ้ำได้

ขณะที่ร้านค้าก็เริ่มเปิดกลุ่มเพลงคริสต์มาสมาตั้งแต่ราวกลางเดือนพฤศจิกายน ทั้งเพื่อสร้างบรรยากาศและกระตุ้นการขายสินค้าที่ลูกค้ามาเลือกซื้อไปมอบให้กันวันคริสต์มาสต่อเนื่องไปถึงปีใหม่ ซึ่งศิลปินนักร้องก็ไม่พลาดโอกาสทองนี้ จึงเตรียมทำเพลงปล่อยมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนในทุก ๆ ปี

ทำได้ตามสูตรแต่จำกัดเฉพาะช่วงเวลา: มาถึงสาเหตุสุดท้ายที่ศิลปินยังทำเพลงคริสต์มาสกันออกมาแบบรัว ๆ ได้ทุกปี นั่นคือ เพลงคริสต์มาสแต่งไม่ยาก โดยขอแค่มีคำหลัก ๆ อย่าง ความรัก ความคิดถึง ครอบครัว ฉันกับเธอ และคริสต์มาสอยู่ จนกล่าวได้ว่าเป็นเพลงสูตร

นี่ทำให้ไม่ว่าเพลงจะมีเนื้อหาสุขหรือเศร้าแค่ไหน ถ้ามีคำหลัก ๆ เหล่านี้อยู่ก็แต่งเพลงคริสต์มาสและมีโอกาสเป็นเพลงฮิตได้ ซึ่งก็แสดงให้ประจักษ์แล้วกับเพลง Last Christmas 

เพราะแม้เนื้อหาเศร้าช้ำรัก และ George Michael ผู้แต่งและคนร้องจะเสียชีวิตในปี 2016 แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในเพลงดังประจำเทศกาลนี้มาจนครบ 40 ปีในปีนี้  

ทว่าการแต่งเพลงได้ออกตามสูตรก็มาพร้อมข้อจำกัด เพราะแต่งเพื่อทำเพลงออกมาให้แฟนเพลงฟังได้เฉพาะเทศกาลคริสต์มาสเท่านั้น/vox, mondayeconomist


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer