การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา นับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองโลกอีกครั้ง หลังจากที่เขาเคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ระหว่างปี 2017-2021 การกลับมาดำรงตำแหน่งในปี 2025 ไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันถึงพลังของฐานเสียงที่เหนียวแน่น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของยุคที่เรียกว่า “America Golden Age” ที่เต็มไปด้วยนโยบายที่มุ่งเน้นการสร้างความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ในบทความนี้ เราจะสำรวจที่มาที่ไปของการกลับมาของทรัมป์ นโยบายสำคัญที่ทำให้เขาได้รับการยกย่อง และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประเทศและโลกโดยรวม
ที่มาของการกลับมาของทรัมป์ 2.0
หลังจากพ่ายแพ้ในปี 2020 ทรัมป์ยังคงเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลในพรรครีพับลิกัน แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการจัดการโรคระบาดโควิด-19 และเหตุการณ์จลาจลที่รัฐสภาสหรัฐฯ แต่เขายังคงได้รับความนิยมจากฐานเสียงที่ภักดีของเขา การเลือกตั้งในปี 2024 กลายเป็นเวทีที่ทรัมป์ใช้โอกาสแสดงจุดยืนทางการเมืองที่เข้มแข็ง เช่น การต่อต้านรัฐบาลกลางที่เขามองว่าอ่อนแอและการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เขาสัญญาว่าจะนำกลับมาอีกครั้ง
โดนัลด์ ทรัมป์ และ ไบเดน ขณะร่วมงานพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐวันแรกเมื่อ 20 มกราคม 2025: Commonwealth Journal
การหาเสียงในปี 2024 ของทรัมป์เน้นไปที่หัวข้อสร้างความเชื่อมั่น เช่น การฟื้นฟูอุตสาหกรรมในประเทศ ลดการพึ่งพาจีน และการสร้างงานในพื้นที่ชนบท คำขวัญ “Make America Great Again… Again” กลายเป็นจุดขายที่ทรงพลัง นอกจากนี้ เขายังใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ที่เขาก่อตั้งเองเพื่อสื่อสารโดยตรงกับประชาชน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยลดอิทธิพลของสื่อกระแสหลักที่มักวิจารณ์เขาอย่างรุนแรง
อีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะ คือการใช้กลยุทธ์สร้างความเป็นเอกภาพระหว่างกลุ่มอนุรักษนิยม เขาสร้างพันธมิตรกับกลุ่มที่มีอุดมการณ์ใกล้เคียงกันและรวมถึงการสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจที่มองเห็นประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจของเขา
ทรัมป์ทำอะไรบ้างในวันรับตำแหน่งวันแรก
20 มกราคม 2025 คือวันแรกในตำแหน่ง ประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของโดนัลด์ ทรัมป์ เขาเริ่มงานด้วยการเตรียมปากกามาเพื่อเซ็น Executive Order หรือ คำสั่งพิเศษประธานาธิบดี เป็นร้อย ๆ ฉบับ (แต่ในความจริงลงนามไปทั้งหมด 26 ฉบับ) ในเรื่องที่สำคัญและหลาย ๆ อย่างเคยเป็นคำสั่งพิเศษของอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน เรียกได้ว่าทรัมป์เข้าออฟฟิศมาเซ็นเอกสารเพื่อหวังพลิกอเมริกาจากมือของไบเดนให้เข้าสู่ยุคที่บางคนอาจจะเรียกว่า “อนุรักษนิยม” แต่ทรัมป์เรียกมันว่า “ยุคทองของอเมริกา หรือ America Golden Age” เราไปดูกันว่านโยบายสำคัญ ๆ อะไรที่บ้างทรัมป์ลงนามไป
ก่อนจะไปเจาะว่าทรัมป์เซ็นอะไรไปบ้าง เราอยากให้คุณทำความเข้าใจกับสิ่งที่เรียกว่า Executive Order หรือ คำสั่งพิเศษประธานาธิบดีกันก่อน
คำสั่งพิเศษประธานาธิบดีคืออะไร
คำสั่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาหรือ Executive Order ก็คือหนังสือคำสั่งที่ออกโดยประธานาธิบดีถึงหน่วยงานรัฐบาลกลางโดยไม่ต้องผ่านการรับรองจากสภาคองเกรส
คำสั่งฝ่ายบริหารคือคำสั่งที่ลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งระบุแนวทางการดำเนินการของรัฐบาลกลาง คำสั่งเหล่านี้สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้มากมาย ตั้งแต่ประเด็นการบริหารไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญที่ส่งผลต่อการปกครองของประเทศ คำสั่งเหล่านี้มีผลผูกพันทางกฎหมายและมีผลบังคับใช้เช่นเดียวกับกฎหมาย แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากรัฐสภาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ก็ตาม
อำนาจในการออกคำสั่งฝ่ายบริหารนั้นมาจากมาตรา II ของรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา ซึ่งให้อำนาจกว้าง ๆ แก่ประธานาธิบดีในการบังคับใช้กฎหมายและจัดการฝ่ายบริหาร แม้ว่าคำสั่งเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อการบังคับใช้กฎหมาย แต่จะต้องสอดคล้องกับกฎหมายที่มีอยู่และไม่สามารถเกินอำนาจของประธานาธิบดีได้
แม้ว่าคำสั่งฝ่ายบริหารจะมีอำนาจแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีขีดจำกัด คำสั่งเหล่านี้อาจถูกท้าทายในศาลได้หากถูกมองว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือหากเกินอำนาจของประธานาธิบดี นอกจากนี้ รัฐสภายังสามารถขัดขวางการนำไปปฏิบัติได้ผ่านมาตรการด้านงบประมาณหรือการดำเนินการทางกฎหมาย
เอาล่ะทีนี้เรามาต่อกันที่คำสั่งพิเศษประธานาธิบดีที่ทรัมป์ลงนามไปในวันแรกของการเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ก่อนอื่นเราไปดูว่าคำสั่งพิเศษประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เซ็นไปทั้งหมด 26 ฉบับมีเรื่องอะไรบ้าง
| ฉบับที่ | หัวข้อคำสั่ง |
| 1 | การยกเลิกคำสั่งบริหารและการกระทำที่เป็นอันตราย |
| 2 | การฟื้นฟูเสรีภาพในการแสดงออกและยุติการปิดกั้นจากรัฐบาลกลาง |
| 3 | การยุติการใช้อำนาจรัฐบาลกลางในทางมิชอบ |
| 4 | การให้ความสำคัญกับสหรัฐอเมริกาในข้อตกลงสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ |
| 5 | การบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองชาวอเมริกันจากแอปพลิเคชันที่ควบคุมโดยต่างชาติกับ TikTok |
| 6 | การถอนสหรัฐฯ ออกจากการเป็นสมาชิกขององค์การอนามัยโลก |
| 7 | การฟื้นฟูความรับผิดชอบในตำแหน่งที่มีอิทธิพลต่อนโยบายภายในหน่วยงานรัฐบาลกลาง |
| 8 | การตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐเก่าสำหรับการแทรกแซงการเลือกตั้งและการเปิดเผยข้อมูลความลับของรัฐบาลโดยมิชอบ |
| 9 | การทำความชัดเจนถึงบทบาทของทหารในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนสหรัฐอเมริกา |
| 10 | การปลดปล่อยพลังงานของอเมริกา *หมายถึงนโยบายที่เน้นส่งเสริมการผลิตและใช้พลังงานภายในประเทศสหรัฐอเมริกา |
| 11 | การปรับแนวทางโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐอเมริกา |
| 12 | การปกป้องความหมายและคุณค่าของการเป็นพลเมืองอเมริกัน |
| 13 | การรักษาความมั่นคงชายแดน |
| 14 | การฟื้นฟูโทษประหารและปกป้องความปลอดภัยสาธารณะ |
| 15 | การประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน |
| 16 | การทบทวนและปรับแนวทางความช่วยเหลือต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา |
| 17 | การปกป้องประชาชนจากการรุกราน |
| 18 | การปลดปล่อยศักยภาพทรัพยากรพิเศษของรัฐอะลาสกา |
| 19 | การปกป้องประชาชนสหรัฐฯ จากผู้ก่อการร้ายต่างชาติและภัยคุกคามความมั่นคงและความปลอดภัยสาธารณะ |
| 20 | นโยบาย “อเมริกาเป็นอันดับแรก (America First)” สำหรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ |
| 21 | การจัดตั้งและดำเนินการ “กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล” (Department Of Government Efficiency) |
| 22 | การปกป้องสตรีจากลัทธิความคิดเรื่องเพศสภาพสุดโต่ง และการฟื้นฟูความจริงทางชีววิทยาในรัฐบาลกลาง |
| 23 | การยุติโครงการและการปฏิบัติที่เป็นอุดมการณ์และสิ้นเปลืองของรัฐบาล (DEI) |
| 24 | การปฏิรูปกระบวนการจ้างงานภาครัฐและการฟื้นฟูระบบคุณธรรม |
| 25 | การกำหนดให้กลุ่มอาชญากรและองค์กรอื่นเป็นองค์กรก่อการร้ายและผู้ก่อการร้ายระดับโลก |
| 26 | การฟื้นฟูชื่อที่สรรเสริญความยิ่งใหญ่ของอเมริกา
*หมายถึง การคืนชื่อสถานที่หรือสิ่งต่าง ๆ กลับไปเป็นชื่อเดิมที่สะท้อนประวัติศาสตร์และความภาคภูมิใจของอเมริกา |
ถ้าเหลือบดูแบบเร็ว ๆ จะเห็นว่านี่คือนโยบาย America First โดยแท้ ทรัมป์ เน้นตลอดว่าเขาตั้งใจที่จะพาอเมริกากลับมายิ่งใหญ่ให้ได้ ทีนี้เราลองไปเจาะลึกดูแต่ละหมวดเลยว่า คำสั่งพิเศษประธานาธิบดีที่ทรัมป์เร่งเซ็นในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่งนั้นมีรายละเอียดและมีความสำคัญอย่างไร
เรื่อง การย้ายถิ่นฐานและพรมแดนสหรัฐฯ
- ทรัมป์ประกาศ “การรุกรานที่ชายแดนทางใต้ของสหรัฐฯ เพื่อเปิดทางในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร โดยทรัมป์ระบุว่าคณะรัฐมนตรีจะต้องดำเนินการที่เหมาะสมในการขับไล่ ส่งกลับ หรือกำจัดบุคคลต่างชาติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรุกรานนี้
- อนุญาตให้ทหารสหรัฐฯ ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและควบคุมชายแดน ภายใต้โครงการเนรเทศขนาดใหญ่ที่ทรัมป์สัญญาไว้ คำสั่งนี้ครอบคลุมการใช้กำลังสำรอง (Ready Reserve) และกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติ (National Guard) รวมถึงทรัพย์สินทางทหาร เช่น ยานพาหนะขนส่ง เครื่องบิน และสถานที่กักกันสำหรับสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายพลเรือน
ในอดีตจำกัดการใช้บุคลากรทางทหารในการบังคับใช้กฎหมายในประเทศ คำสั่งของทรัมป์กำหนดให้กระแสผู้อพยพเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งเขาให้เหตุผลว่าคำสั่งของกองทัพในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นเหตุผลเพียงพอ
- ยุติการรับผู้ลี้ภัยและระงับโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐฯ (U.S. Refugee Admission Program) มีผลตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2025 รอการตรวจสอบและข้อเสนอแนะจากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและกระทรวงการต่างประเทศ
กลุ่มคนจำนวนมากแสดงความผิดหวังทันทีที่ทราบข่าวการระงับการอพยพเข้าไปยังสหรัฐอเมริกา: AP
- สั่งเปลี่ยนคำจำกัดความของสิทธิการเป็นพลเมืองโดยกำเนิด (Birthright Citizenship):** คำสั่งระบุว่า เด็กที่เกิดในสหรัฐฯ จะไม่ได้รับสัญชาติหาก 1) แม่ไม่มีสถานะเข้าเมืองที่ถูกกฎหมายหรืออยู่ชั่วคราวเท่านั้น และ 2) พ่อไม่ใช่พลเมืองหรือผู้พำนักถาวรของสหรัฐฯ หน่วยงานของสหรัฐฯ ถูกสั่งห้ามออกเอกสารที่ยอมรับสถานะพลเมืองสำหรับเด็กเหล่านี้
- เร่งการก่อสร้างกำแพงและสิ่งกีดขวางอื่น ๆ ตามแนวชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก
- สั่งให้อัยการสูงสุดและรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสร้างหน่วยงานปฏิบัติการพิเศษใน 50 รัฐ เพื่อขจัดกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งต่างชาติ และองค์กรอาชญากรรม
- กำหนดให้เก็บตัวอย่าง DNA และลายนิ้วมือจากผู้ต้องขังที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลางปี 2005
- กำหนดให้เก็บตัวอย่าง DNA และลายนิ้วมือจากผู้ต้องขังที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลางปี 2005
- ห้ามการ “จับแล้วปล่อย” (Catch-and-Release) ซึ่งอนุญาตให้ผู้เข้าเมืองบางรายอยู่ในสหรัฐฯ ระหว่างรอกระบวนการศาลตรวจคนเข้าเมือง โดยแทนที่ด้วยการกักกันและเนรเทศทุกคนที่อยู่ในสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย
- สั่งให้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิเร่งจัดหาทรัพยากรและผู้รับเหมา เพื่อสร้างและดำเนินการสถานที่กักกันสำหรับบุคคลที่สามารถถูกเนรเทศได้
- ยุติโครงการ “Parole Programs” ที่อนุญาตให้สมาชิกครอบครัวของพลเมืองสหรัฐฯ และผู้อยู่อาศัยถาวรจากคิวบา เฮติ นิการากัว และเวเนซุเอลาเข้ามาในสหรัฐฯ ระหว่างที่ใบสมัครวีซ่าของพวกเขายังอยู่ระหว่างพิจารณา
- ตรวจสอบสถานะของผู้ที่ได้รับ “Temporary Protected Status (TPS)” เพื่อให้มั่นใจว่าสถานะดังกล่าวมีขอบเขตที่เหมาะสมและอยู่ในระยะเวลาที่จำเป็นตามกฎหมายเท่านั้น
- กลับไปใช้มาตรฐานการตรวจสอบวีซ่าและผู้ขอลี้ภัยในยุคทรัมป์ครั้งแรก โดยใช้มาตรฐานเหล่านี้กับผู้ลี้ภัยและบุคคลไร้สัญชาติที่ต้องการเข้าประเทศสหรัฐฯ
- ยกเลิกคำสั่งของไบเดน ที่กำหนดให้มีการวางแผนผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อรูปแบบการย้ายถิ่นฐานทั่วโลก
- สั่งให้รัฐมนตรีต่างประเทศและนักการทูตสหรัฐฯ ขู่คว่ำบาตรประเทศที่ปฏิเสธ หรือไม่อำนวยความสะดวกในการรับพลเมืองของตนกลับประเทศหลังถูกเนรเทศ
- สั่งให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบกระบวนการคัดกรองวีซ่า และส่งรายงานพร้อมข้อเสนอแนะถึงประธานาธิบดีภายใน 60 วัน พร้อมทั้งระบุประเทศที่ข้อมูลไม่เพียงพอสำหรับการตรวจสอบจนต้องระงับหรือจำกัดการยอมรับพลเมืองจากประเทศนั้น
- สั่งให้อัยการสูงสุดและหน่วยงานอื่นๆ ปฏิเสธไม่ให้เงินของรัฐบาลกลางเข้าเมือง “ที่เรียกว่า ‘สถานที่หลบภัย’” ซึ่งฝ่ายบริหารเห็นว่าเป็นการแทรกแซงการบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของรัฐบาลกลาง โดยมีข้อแม้ว่าฝ่ายบริหารของทรัมป์จะดำเนินการในขอบเขตสูงสุดที่กฎหมายกำหนด
- ระงับการแจกจ่ายเงินของรัฐบาลกลางให้กับองค์กรที่ไม่ใช่ภาครัฐ “ที่สนับสนุนหรือให้บริการโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่คนต่างด้าวที่อพยพเข้าเมืองได้หรือผิดกฎหมาย” โดยรอการตรวจสอบและสอบบัญชีเพื่อระบุการดำเนินการใด ๆ ที่อาจ “ส่งเสริมหรืออำนวยความสะดวกให้เกิดการละเมิดกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของเรา”
- กำหนดให้กลุ่มค้ายาข้ามชาติเป็น “องค์กรก่อการร้ายต่างประเทศ” หรือ “ผู้ก่อการร้ายระดับโลกที่ได้รับการกำหนดเป็นพิเศษ” ตามกฎหมายของรัฐบาลกลางที่มีอยู่ คำสั่งดังกล่าวกระตุ้นให้เกิดพระราชบัญญัติศัตรูต่างด้าวเพื่อต่อสู้กับกลุ่มค้ายาและสมาชิกของพวกเขา
- เรียกร้องให้อัยการสูงสุด รัฐมนตรีต่างประเทศ และบุคคลอื่น ๆ “ประเมินความเหมาะสมของโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่าผู้อพยพที่ถูกกฎหมายจะกลมกลืนเข้ากับสหรัฐอเมริกาได้อย่างเหมาะสม และแนะนำมาตรการเพิ่มเติมใดๆ … ที่ส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นอเมริกันแบบหนึ่งเดียว” ทั้งหมดนี้ต้องทำภายใน 30 วัน
เรื่อง การค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจ และเศรษฐกิจ
- สั่งให้หน่วยงานบริหารทั้งหมดปรับนโยบายเพื่อลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และทรัมป์ต้องการรายงานความคืบหน้าจากที่ปรึกษาเศรษฐกิจระดับสูงของทำเนียบขาวทุก ๆ 30 วัน
- สั่งให้รัฐมนตรีกระทรวงการคลังและพาณิชย์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และหน่วยงานอื่น ๆ ตรวจสอบสาเหตุของการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ระบุแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และเสนอแนะ โดยความเป็นไปได้ที่อาจมีการนำมาตรการภาษีเพิ่มเติมมาบังคับใช้ในระดับสากล เพื่อนำมาใช้เป็นนโยบายทางเศรษฐกิจหรือการค้า เช่น เพื่อควบคุมสินค้านำเข้าหรือสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ
- เริ่มตรวจสอบข้อตกลงสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา ซึ่งเป็นร่าง NAFTA ที่มาจากสมัยแรกของทรัมป์ โดยมุ่งหวังให้มีการเจรจาใหม่ในปี 2026 หรือเร็วกว่านั้น ทรัมป์กล่าวว่าเขาวางแผนที่จะเรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% สำหรับสินค้าของแคนาดาและเม็กซิโกตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ แต่เขายังไม่ได้ลงนามในคำสั่งของฝ่ายบริหารดังกล่าว
- เริ่มจัดตั้ง “หน่วยงานรายได้ภายนอกเพื่อจัดเก็บภาษีศุลกากร อากรศุลกากร และรายได้อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าต่างประเทศ”
- เริ่มพิจารณาข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเพื่อพิจารณาภาษีศุลกากรใหม่หรือที่เพิ่มขึ้น ในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้ง ทรัมป์ขู่ว่าจะขึ้นภาษีศุลกากรของจีนสูงถึง 60%
- สั่งตรวจสอบการไหลเข้าของเฟนทานิลในสหรัฐฯ โดยเฉพาะจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน และเสนอแนะแนวทางต่าง ๆ รวมถึงภาษีศุลกากรและการคว่ำบาตรที่อาจเกิดขึ้น
- สั่งให้รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์และการค้าและผู้แทนการค้าสหรัฐฯ รวบรวมการตรวจสอบและประเมินหลายฉบับเข้าด้วยกัน เพื่อประเมินสถานการณ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศต่าง ๆ ในโลกภายในวันที่ 1 เมษายน
- ระงับการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในข้อตกลงภาษีโลก ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่มุ่งหมายเพื่อกำหนดภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลกเพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทข้ามชาติหลีกเลี่ยงการเก็บภาษี
- ระงับการแบน TikTok ของสหรัฐฯ เป็นเวลา 75 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามอัยการสูงสุดบังคับใช้กฎหมายที่รัฐสภาผ่านในปี 2024 เพื่อให้ฝ่ายบริหารชุดใหม่สามารถประเมินความกังวลด้านความมั่นคงของชาติและหาคนที่จะมาซื้อ TikTok ในสหรัฐฯ
- ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ กดดันบริษัทโซเชียลมีเดียให้ปราบปรามข้อมูลที่ผิดพลาดและข้อมูลบิดเบือน คำสั่งของทรัมป์ระบุว่าความพยายามก่อนหน้านี้ “ละเมิดสิทธิในการพูดที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญของพลเมืองอเมริกัน” และ “ส่งเสริมให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับประเด็นสำคัญที่ต้องถกเถียงกันในที่สาธารณะ”
เรื่อง สภาพภูมิอากาศ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม
- ถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งประเทศต่าง ๆ มุ่งมั่นที่จะดำเนินนโยบายจำกัดการปล่อยคาร์บอนที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คำสั่งดังกล่าวจะปิดกั้นการโอนเงินของสหรัฐฯ ที่เคยผูกพันกับแผนการเงินเพื่อสภาพอากาศระหว่างประเทศ
สิ่งแรกที่ทรัมป์ทำในเรื่องสภาวะอากาศคือ ถอนตัวออกจากการเข้าร่วมข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Climate Agreement): The World Economic Forum
- ประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ” ซึ่งเป็นทั้งมาตรการเชิงสัญลักษณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงคำมั่นสัญญาของทรัมป์ในการขยายพลังงาน แต่ยังเรียกร้องให้รัฐบาลกลางใช้มาตรการเวนคืนที่ดินและพระราชบัญญัติการผลิตเพื่อการป้องกันประเทศโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นมาตรการที่อนุญาตให้รัฐบาลยึดครองที่ดินและทรัพยากรส่วนบุคคลเพื่อผลิตสินค้าที่ถือว่ามีความจำเป็นของชาติ
- บังคับให้กองทัพบกใช้บทบัญญัติการอนุญาตฉุกเฉิน “ในขอบเขตสูงสุดเท่าที่จะทำได้” เพื่อเร่งรัดโครงการพลังงาน และเรียกร้องให้หน่วยงานทั้งหมดใช้ขั้นตอนฉุกเฉินที่มีความเหมือนกัน ซึ่งเร่งรัดหรือหลีกเลี่ยงกระบวนการอนุญาตภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองสัตว์ใกล้สูญพันธุ์หรือกฎหมายของรัฐบาลกลางอื่น ๆ ที่คุ้มครองสัตว์ป่า
- ยกเลิกนโยบายของไบเดนที่สนับสนุนการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า: เพื่อลดการสนับสนุนภาคพลังงานที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิล
- กำหนดให้ทุกหน่วยงานส่งแผนการยกเลิกกฎระเบียบ: ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการผลิตและการบริโภคพลังงานในประเทศ โดยเฉพาะน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน พลังงานน้ำ เชื้อเพลิงชีวภาพ แร่สำคัญ และพลังงานนิวเคลียร์
- ยกเลิกคำสั่งและนโยบายของไบเดนที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: เช่น แนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย Inflation Reduction Act ปี 2022 การประเมินความเสี่ยงทางการเงินจากการไม่แก้ไขปัญหาโลกร้อน และการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประธานาธิบดี
- ปรับกระบวนการสกัดเชื้อเพลิงฟอสซิลในอะลาสกา: โดยยกเลิกหรือแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในรัฐนี้ รวมถึงฟื้นฟูสิทธิการเช่าพื้นที่สำหรับการขุดเชื้อเพลิงฟอสซิลในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติอาร์กติก (Arctic National Wildlife Refuge)
- ปฏิเสธคำขอสร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนพื้นเมืองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอาร์กติก: คำร้องนี้ถูกปฏิเสธเพื่อไม่ให้พื้นที่ดังกล่าวมีสถานะพิเศษ
- ฟื้นฟูกฎเกณฑ์ของรัฐบาลทรัมป์ชุดแรกเกี่ยวกับการล่าสัตว์และการดักจับสัตว์ในเขตสงวนแห่งชาติในอะลาสกา พร้อมสั่งให้กระทรวงมหาดไทยให้กฎเกณฑ์ของรัฐบาลกลางเกี่ยวกับการล่าสัตว์และการตกปลาในอะลาสกาสอดคล้องกับกฎเกณฑ์สำหรับที่ดินของรัฐบาล
- ยกเลิกข้อจำกัดในยุคไบเดนที่เกี่ยวข้องกับการสกัดเชื้อเพลิงฟอสซิลบนที่ดินของรัฐบาลกลาง เพื่อเปิดโอกาสให้มีการขุดค้นเชื้อเพลิงได้มากขึ้น
- ระงับพื้นที่ชั้นนอกของไหล่ทวีปจากการเช่าพื้นที่พลังงานลม ซึ่งเป็นการจำกัดการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม
- กลับมาท้าทายรัฐบาลแคลิฟอร์เนียเรื่องการจัดการน้ำ: ทรัมป์ต้องการยกเลิกมาตรการปกป้องปลาและสัตว์ป่าในเขต Sacramento-San Joaquin Delta เพื่อจัดสรรน้ำไปยัง Central Valley และ Southern California ให้มากขึ้น
เรื่อง ความหลากหลาย สิทธิของบุคคลข้ามเพศ และสิทธิพลเมือง
- ให้เวลาฝ่ายบริหารและหน่วยงานต่าง ๆ เป็นเวลา 60 วันในการยุติโปรแกรมความหลากหลาย ความเสมอภาค และการรวมเข้าเป็นหนึ่ง รวมถึงตำแหน่ง “เจ้าหน้าที่ความหลากหลายระดับสูง” “แผนปฏิบัติการเพื่อความเสมอภาค” และตำแหน่ง “ความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม” กำหนดให้ฝ่ายบริหารและหน่วยงานต่าง ๆ มอบรายงานความพยายาม DEI ก่อนหน้านี้แก่สำนักงานบริหารและงบประมาณทำเนียบขาว รวมถึงชื่อของผู้รับเหมา DEI ที่เกี่ยวข้องและผู้รับทุน DEI ยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีอายุ 60 ปีซึ่งกำหนดข้อกำหนดต่อต้านการเลือกปฏิบัติสำหรับหน่วยงานของรัฐและผู้รับเหมา
- บันทึกช่วยจำ OMB ฉบับแยกต่างหากมีผลให้เจ้าหน้าที่ DEI ของรัฐบาลกลางทั้งหมดลาออกทันทีจนกว่าจะถูกไล่ออก
- ยกเลิกคำสั่งหลายฉบับในยุคของ Biden เกี่ยวกับความเสมอภาคทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์และสิทธิของกลุ่ม LGBTQ อย่างคำสั่งที่ตั้งใจจะรับรองการกระจายเงินของรัฐบาลอย่างเท่าเทียมกันตามสำมะโนประชากรปี 2020 ป้องกันการเลือกปฏิบัติของรัฐบาลตามอัตลักษณ์ทางเพศและรสนิยมทางเพศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสนับสนุนการรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวในโรงเรียน ความคิดริเริ่มด้านการศึกษาของทำเนียบขาวสำหรับชาวอเมริกันพื้นเมือง ชาวฮิสแปนิก และชาวอเมริกันผิวดำ และคำสั่งให้บุคคลข้ามเพศเข้ารับราชการทหารได้อย่างชัดเจน
- กำหนดให้รัฐบาลสหรัฐฯ ยอมรับเพศได้เพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง ในหนังสือเดินทาง วีซ่า บัตรเข้าเมืองทั่วโลก และแบบฟอร์มและเอกสารอื่น ๆ ทั้งหมด และในโปรแกรมและการสื่อสารทั้งหมด
- กำหนดให้ตีความและบังคับใช้กฎหมายสิทธิพลเมืองของรัฐบาลกลางและกฎหมายแรงงานทั้งหมดด้วยความเข้าใจว่า “เพศ ไม่ใช่คำพ้องความหมายและไม่รวมถึงแนวคิดเรื่อง ‘อัตลักษณ์ทางเพศ’”
- ยุบสภานโยบายเพศของทำเนียบขาวและยกเลิกแนวปฏิบัติของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับ Title IX ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของคนข้ามเพศและเอกสารต่าง ๆ ที่ให้คำแนะนำโรงเรียนเกี่ยวกับวิธีการสนับสนุนและปกป้องบุคคล LGBTQ
- ห้ามใช้เงินของรัฐบาลกลาง รวมถึงเงินช่วยเหลือ เพื่อ “ส่งเสริมอุดมการณ์ทางเพศ” และสั่งให้อัยการสูงสุดและรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ “ต้องแน่ใจว่าผู้ชายจะไม่ถูกคุมขังในเรือนจำหญิงหรือถูกคุมขังในศูนย์กักขังหญิง”
เรื่อง ลูกจ้างของรัฐบาลกลางและโครงสร้างรัฐบาล
- จัดตั้งหน่วยประสิทธิภาพของรัฐบาล (Department of Government Efficiency: DOGE) ขึ้นภายใต้สำนักงานบริหารของประธานาธิบดีจนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2026 ซึ่ง DOGE เป็นหน่วยงานที่นำโดย อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก และมีหน้าที่ให้คำแนะนำในการลดโครงการที่ไม่จำเป็นและลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง
อีลอน มัสก์ หัวหน้าทีม DOGE ซึ่งก่อตั้งมาเพื่อให้คำแนะนำประธานาธิบดีเกี่ยวกับเรื่องการใช้จ่ายเงินของภาครัฐ AP
- กำหนดให้หัวหน้าหน่วยงานแต่ละแห่งจัดตั้งทีม DOGE ของตนเองอย่างน้อย 4 คน เพื่อทำงานร่วมกับปฏิบัติการของมัสก์
- ระงับการจ้างงานของรัฐบาลกลาง โดยมีข้อยกเว้น โดยเฉพาะตำแหน่งตรวจคนเข้าเมืองและบังคับใช้กฎหมายชายแดน และงานในกองทัพสหรัฐฯ รวมถึงข้อยกเว้นทั่วไปสำหรับ “การรักษาบริการที่จำเป็น” คำสั่งนี้ยังไม่บังคับใช้กับผู้ได้รับการแต่งตั้งทางการเมืองระดับสูงของประธานาธิบดี การดำเนินการนี้ห้ามไม่ให้ทำสัญญากับแรงงานภายนอกเพื่อหลีกเลี่ยงการระงับการจ้างงาน
- ปิดกั้นกฎและข้อบังคับของรัฐบาลกลางใหม่ในหน่วยงานทั้งหมดที่หัวหน้าหน่วยงานที่ทรัมป์แต่งตั้งยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งเพื่ออนุมัติคำสั่งใหม่ สำนักงานงบประมาณและการจัดการของทำเนียบขาวสามารถเพิกถอนการห้ามในสถานการณ์ฉุกเฉินได้
- กำหนดให้พนักงานของรัฐบาลกลางทุกคนกลับมาทำงานแบบเต็มเวลา
- ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ระดับสูงในระบบราชการ (SES) และทำให้การปลด ลดตำแหน่ง หรือโยกย้ายง่ายขึ้น: การตรวจสอบครอบคลุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของระบบราชการกลาง (Senior Executive Service – SES) ซึ่งโดยปกติจะเป็นตำแหน่งที่มีความมั่นคงและได้รับการคุ้มครองไม่ให้ถูกปลดหรือโยกย้ายง่าย ๆ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่ตามบันทึกของทรัมป์ ระบุว่า “เพราะเจ้าหน้าที่ SES มีอำนาจสำคัญในรัฐบาล พวกเขาต้องทำงานตามความพอใจของประธานาธิบดี
- ทำให้การปลดพนักงานรัฐบาลกลางง่ายขึ้น:ทรัมป์นำคำสั่งบริหารจากการดำรงตำแหน่งครั้งแรกกลับมาใช้ ซึ่งเคยถูกยกเลิกในยุคไบเดน คำสั่งนี้กำหนดว่า พนักงานและผู้สมัครงานในรัฐบาลกลาง “ไม่จำเป็นต้องสนับสนุนประธานาธิบดีในเชิงส่วนตัวหรือการเมือง” แต่ต้อง “ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลอย่างซื่อสัตย์” หากไม่ทำตาม อาจถูกปลดออกจากตำแหน่งได้
- กำหนดแผนการจ้างงานในรัฐบาลกลาง (Federal Hiring Plan) ภายใน 120 วัน จะต้องตั้งมาตรฐานใหม่ในการจ้างพนักงานในรัฐบาลกลาง โดยเน้นการสรรหาบุคคลที่ “หลงใหลในอุดมการณ์ของสาธารณรัฐอเมริกัน” และหลีกเลี่ยงการจ้างพนักงานที่อิงตามเชื้อชาติ เพศ หรือศาสนา นอกจากนี้ ยังป้องกันการจ้างบุคคลที่ “ไม่เต็มใจปกป้องรัฐธรรมนูญหรือทำงานอย่างซื่อสัตย์ในฝ่ายบริหาร”
- แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ในคณะรัฐมนตรีและหน่วยงาน ทำการเสนอชื่อเจ้าหน้าที่คณะรัฐมนตรีและตำแหน่งระดับรอง รวมถึงแต่งตั้งรักษาการเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ เช่น หัวหน้าหน่วยงานและประธานคณะกรรมการต่าง ๆ ระหว่างรอการยืนยันจากวุฒิสภาสำหรับผู้ที่ทรัมป์เสนอชื่อ
เรื่อง ระบบการดูแลสุขภาพ
- ถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก สั่งสำนักงานบริหารและงบประมาณทำเนียบขาวหยุดการโอนเงินของสหรัฐฯ ให้กับองค์การอนามัยโลกในอนาคต และสั่งรัฐมนตรีต่างประเทศยุติการเจรจาข้อตกลงการระบาดใหญ่ขององค์การอนามัยโลก
- ยกเลิกคำสั่งของ Biden ที่มุ่งหมายให้การลงทะเบียนบริการ Medicaid ง่ายขึ้น ได้รับความคุ้มครองจากประกันภัยภายใต้ Affordable Care Act และลดค่าใช้จ่ายยาตามใบสั่งแพทย์ อย่างไรก็ตาม การกระทำของทรัมป์ไม่ได้ยกเลิกข้อจำกัดของอินซูลินที่ 35 ดอลลาร์ต่อเดือนในยุคของ Biden ข้อจำกัดของ Medicare ที่ต้องจ่ายเองต่อปีที่ 2,000 ดอลลาร์สำหรับยาตามใบสั่งแพทย์ หรือความสามารถของ Medicare ในการเจรจาต่อรองราคาของยา นโยบายเหล่านี้ยังคงบังคับใช้โดยกฎหมายของรัฐบาลกลางที่ผ่านโดยรัฐสภา
บัตรประชาสุขภาพของชาวอเมริกัน: Medicare on Video
- ยกเลิกคำสั่งและคำสั่งของ Biden หลายฉบับเกี่ยวกับ COVID-19
- สั่งรัฐมนตรีต่างประเทศและผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและงบประมาณระบุ “สหรัฐฯ และพันธมิตรระหว่างประเทศที่น่าเชื่อถือและโปร่งใส” เพื่อแทนที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับองค์การอนามัยโลก
เรื่อง นโยบายต่างประเทศ ความมั่นคงแห่งชาติ และ ‘อเมริกาต้องมาก่อน (America First)’
การกลับมาของทรัมป์ก็ยังคงความตั้งใจเดิมคือ อเมริกาต้องมาก่อน: CNN
- ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรของกลุ่มขวาจัดและบุคคลที่กล่าวหาว่าก่อความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์ในยุคของไบเดน คำสั่งของไบเดนได้อายัดทรัพย์สินของสหรัฐฯ และห้ามไม่ให้ชาวอเมริกันติดต่อกับชาวอิสราเอลที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขา
- สั่งให้มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศออกแนวทางปฏิบัติเพื่อให้กระทรวงการต่างประเทศ “ดำเนินการทางการเมือง โครงการ บุคลากร และปฏิบัติการต่างๆ ตามนโยบายต่างประเทศที่ต้องให้ความสำคัญกับอเมริกามาก่อน ซึ่งให้ความสำคัญกับอเมริกาและผลประโยชน์ของอเมริกาเป็นอันดับแรก”
- กำหนดให้ฮูตีในเยเมนเป็นองค์กรก่อการร้ายอีกครั้ง รัฐบาลของทรัมป์กำหนดให้ฮูตีเป็นผู้ก่อการร้ายระดับโลกและเป็นองค์กรก่อการร้ายต่างประเทศในหนึ่งในมาตรการสุดท้ายของเขาในตำแหน่งเมื่อปี 2021 แต่ไบเดนกลับเปลี่ยนแนวทางในช่วงแรก โดยอ้างถึงภัยคุกคามด้านมนุษยธรรมที่การคว่ำบาตรก่อให้เกิดกับชาวเยเมนทั่วไป
- กำหนดสมาชิกและกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานสำหรับสภาความมั่นคงแห่งชาติ
- ระงับความช่วยเหลือด้านการพัฒนาต่างประเทศของสหรัฐฯ ทั้งหมดไว้จนกว่าจะมีการตรวจสอบ “ประสิทธิภาพและความสอดคล้อง” กับเป้าหมายของฝ่ายบริหาร ซึ่งจะต้องดำเนินการภายใน 90 วันโดยหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง “ตามแนวทาง” ของรูบิโอ สำนักงานบริหารและงบประมาณทำเนียบขาว โดยรูบิโอสามารถยกเลิกการระงับโครงการใด ๆ ก็ได้
- อนุมัติการรักษาความปลอดภัยเป็นเวลา 6 เดือนให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารบางคนทันที ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบประวัติ ที่ปรึกษาทำเนียบขาวจะกำหนดว่าผู้ช่วยคนนั้น ๆ จะได้รับอนุมัติ
- ยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารของไบเดนเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มุ่งหมายเพื่อกำหนดแนวทางป้องกันการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์
เรื่อง ความเป็นชาตินิยม (Nationalism)
- นำ ชื่อภูเขา แมกคินลีย์ (Mount McKinley) ในอะลาสกากลับมาใช้อีกครั้ง โดยการที่ทรัมป์นำชื่ออดีตประธานาธิบดีคนที่ 25 ของอเมริกากลับมาใช้กับยอดเขาที่สูงที่สุดในอเมริกาเหนือถือเป็นการยกย่องวิลเลียม แมกคินลีย์ ประธานาธิบดีคนที่ 25 ของสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์ยกย่องเขาในฐานะผู้นำด้านเศรษฐกิจและการขยายอาณาเขตของสหรัฐฯ ผ่านสงครามสเปน-อเมริกา ประธานาธิบดีบารัค โอบามาได้เปลี่ยนชื่อเป็นภูเขาเดนาลีในปี 2015 ซึ่งเป็นชื่อที่ชนเผ่าพื้นเมืองเรียกกันในประวัติศาสตร์ คำสั่งของทรัมป์ไม่ได้เปลี่ยนชื่ออุทยานแห่งชาติและเขตอนุรักษ์เดนาลีที่อยู่โดยรอบ
- กำหนดให้ต้องได้รับการอนุมัติส่วนตัวของทรัมป์สำหรับมาตรฐานการออกแบบและสถาปัตยกรรมของอาคารรัฐบาลกลาง คำสั่งนี้ระบุว่าประธานาธิบดีจะต้องอนุมัติการออกแบบและมาตรฐานสถาปัตยกรรมสำหรับอาคารรัฐบาลใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างของรัฐบาลกลาง “สะท้อนถึงเอกลักษณ์ทางภูมิภาค ประเพณี และมรดกทางสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิก” เพื่อส่งเสริมความสวยงามในพื้นที่สาธารณะและยกระดับภาพลักษณ์ของสหรัฐอเมริกา
- สั่งให้ชักธงชาติสหรัฐฯ ขึ้นเสาเต็มในวันเข้ารับตำแหน่งคำสั่งนี้มีผลกระทบต่อธรรมเนียมปฏิบัติเดิมที่ลดธงลงครึ่งเสาเป็นเวลา 30 วันเพื่อไว้อาลัยอดีตประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์ ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2024
- คำสั่งของไบเดนเดิมให้ลดธงลงครึ่งเสาเพื่อไว้อาลัยตั้งแต่วันเข้ารับตำแหน่ง (Inauguration Day)
- แต่ทรัมป์ออกคำสั่งให้กลับมาเพิ่มธงชาติในสถานที่ของรัฐบาลกลางขึ้นเต็มเสาตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม จนกระทั่งสิ้นสุดช่วงเวลาไว้อาลัยคาร์เตอร์
- 20 มกราคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อเปลี่ยนชื่อ “อ่าวเม็กซิโก” (Gulf of Mexico) เป็น “อ่าวอเมริกา” (Gulf of America) โดยให้เหตุผลว่าชื่อใหม่นี้ “เพราะดีและเหมาะสม“
พื้นที่บริเวณอ่าวเม็กซิโกที่ทรัมป์ต้องการให้เปลี่ยนชื่อเป็นอ่าวอเมริกา
เรื่อง โทษประหารชีวิตและอาชญากรรม
- สั่งอัยการสูงสุดให้หาข้อเท็จจริงว่านักโทษของรัฐบาลกลาง 37 รายที่ถูกลดโทษประหารชีวิตโดยไบเดนเป็นจำคุกตลอดชีวิต สามารถถูกตั้งข้อหาและพิจารณาคดีในข้อหาประหารชีวิตในศาลของรัฐได้หรือไม่
- สั่งการให้อัยการสูงสุดดำเนินการทุกวิถีทางตามกฎหมาย เพื่อจัดหายาให้เพียงพอสำหรับการดำเนินโทษประหารชีวิตด้วยการฉีดยา คำสั่งนี้มุ่งเน้นให้รัฐบาลกลางสนับสนุนรัฐต่าง ๆ ในการจัดหายาที่ใช้ในการฉีดยาสำหรับโทษประหารชีวิต เพื่อให้สามารถดำเนินกระบวนการดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่อง
- สั่งให้อัยการสูงสุดพยายามขอให้ยกเลิกคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ ที่จำกัดการใช้โทษประหารชีวิตในเขตอำนาจของรัฐและรัฐบาลกลาง คำสั่งนี้มีเป้าหมายให้ท้าทายคำตัดสินของศาลสูงที่เคยกำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับโทษประหารชีวิต โดยพยายามเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการพิจารณาคดี
- เพื่อเป็นการแสดงท่าทีเชิงสัญลักษณ์ ให้สั่งอัยการสูงสุด “กระตุ้นให้อัยการสูงสุดของรัฐและอัยการเขต” ดำเนินการลงโทษประหารชีวิตในทุกกรณีที่เป็นไปได้
เรื่อง เหตุการณ์จลาจลที่อาคารรัฐสภาและการรณรงค์หาเสียงในปี 2020
- ลดโทษและอภัยโทษให้กับบุคคลหลายร้อยคนที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดหรือยังถูกดำเนินคดีจากบทบาทของพวกเขาในการโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ขณะที่รัฐสภาประชุมเพื่อรับรองชัยชนะของไบเดนเหนือทรัมป์ในการเลือกตั้งปี 2020
เหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในช่วงเดือน มกราคม ปี 2021: AP
- สั่งให้อัยการสูงสุดและคนอื่น ๆ ตรวจสอบการดำเนินการสืบสวนและบังคับใช้ของหน่วยงานทั้งหมดในช่วงที่ไบเดนดำรงตำแหน่ง เพื่อระบุสิ่งที่ทรัมป์เรียกว่า “การใช้รัฐบาลกลางเป็นอาวุธ” ต่อผู้สนับสนุนของเขา คำสั่งนี้ระบุถึงกระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการการค้าแห่งสหพันธรัฐ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และชุมชนข่าวกรอง คำสั่งนี้กำหนดให้ต้องรายงานผลการค้นพบต่อประธานาธิบดี พร้อม “มาตรการแก้ไข” ที่แนะนำ
- สั่งให้อัยการสูงสุดสอบสวนการดำเนินการของรัฐบาลสหรัฐฯ กับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในช่วงที่ไบเดนดำรงตำแหน่ง และให้ “คำแนะนำสำหรับมาตรการแก้ไขที่เหมาะสม” เพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่ทรัมป์ระบุว่า เป็นความพยายามในการเซนเซอร์โดยรัฐบาลกลาง
- เพิกถอนสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลด้านความปลอดภัยของบุคคล 50 รายที่ทรัมป์กล่าวหาว่าช่วยเหลือแคมเปญหาเสียงของไบเดนในปี 2020 ผ่านแถลงการณ์ต่อสาธารณะร่วมกันเกี่ยวกับแล็ปท็อปของฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายของไบเดน รายชื่อดังกล่าวรวมถึงอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองระดับสูงอย่างเจมส์ แคลปเปอร์ ไมเคิล เฮย์เดน และลีออน พาเนตตา พร้อมด้วยจอห์น โบลตัน อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์
- สั่งให้ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติและผู้อำนวยการซีไอเอส่งรายงานภายให้ทรัมป์ใน 90 วัน พร้อมคำแนะนำสำหรับ “การดำเนินการทางวินัย” เพิ่มเติม และวิธีการ “ป้องกันไม่ให้ชุมชนข่าวกรองหรือใครก็ตามที่ทำงานให้หรืออยู่ในชุมชนมีอิทธิพลที่ไม่เหมาะสมต่อการเลือกตั้งในประเทศ”
ยุคทองของอเมริกา!
ยุค Trump 2.0 ไม่ได้เป็นเพียงแค่การกลับมาของอดีตประธานาธิบดี แต่เป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่หลายคนมองว่าเป็น “America Golden Age” หรือ “ยุคทองของอเมริกา” การดำเนินนโยบายที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การเสริมสร้างพลังงานในประเทศ และการรักษาความเป็นผู้นำโลก ได้สร้างความมั่นคงและความมั่งคั่งให้กับอเมริกา แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์และความท้าทาย แต่ผลงานที่ปรากฏชัดเจนทำให้ทรัมป์ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำที่นำพาสหรัฐอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ในตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งที่ 2 เป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่วางรากฐานให้สหรัฐอเมริกาเข้าสู่ “ยุคทอง” อีกครั้ง การเน้นย้ำในนโยบายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ รวมถึงพยายามปลูกฝังความภาคภูมิใจในความเป็นอเมริกันให้กับประชาชน ไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบในระดับประเทศ แต่ยังเสริมความแข็งแกร่งในเวทีโลกด้วย
ในด้านความมั่นคงแห่งชาติ ทรัมป์ได้นำเสนอนโยบายที่มุ่งเน้นการควบคุมการย้ายถิ่นฐานและการเสริมสร้างความปลอดภัยบริเวณพรมแดนสหรัฐฯ การใช้ทหารในบทบาทตรวจคนเข้าเมือง การสร้างกำแพงชายแดน และการยุติการ “จับแล้วปล่อย” ช่วยลดการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายและเพิ่มความมั่นคงให้กับพลเมือง นอกจากนี้ การนิยามสถานะพลเมืองใหม่ยังแสดงถึงการปกป้องสิทธิของพลเมืองอเมริกันโดยตรง
ในด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์ได้เดินหน้าลดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาธุรกิจในประเทศ พร้อมทั้งขยายการผลิตพลังงานในประเทศ เช่น น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างชาติ อีกทั้งยังทบทวนข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับจีน เม็กซิโก และแคนาดา เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เป็นธรรมและสนับสนุนการผลิตในประเทศ การดำเนินนโยบายเช่นนี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในแง่การช่วยสร้างงาน ฟื้นฟูอุตสาหกรรม และลดต้นทุนการใช้ชีวิตของประชาชน
ในมิติเวทีโลก นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) ได้เสริมสร้างบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำระดับโลก การถอนตัวจากข้อตกลงที่ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาติ อย่าง ข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการควบคุมการสนับสนุนองค์กรระหว่างประเทศบางแห่ง ทำให้สหรัฐฯ มีความเป็นอิสระและสามารถกำหนดทิศทางของตัวเองได้มากขึ้น นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ส่งเสริมการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน โดยมุ่งเน้นการต่อสู้กับภัยคุกคามเช่นการค้ายาเสพติดและการก่อการร้ายระหว่างประเทศ
ไม่เพียงเท่านี้ทรัมป์ยังได้ฟื้นฟูความภาคภูมิใจในความเป็นอเมริกันผ่านการเน้นอัตลักษณ์แบบดั้งเดิมของสหรัฐฯ เช่น การคืนชื่อภูเขาแมกคินลีย์ และการกำหนดมาตรฐานทางสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศ การฟื้นฟูเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเสริมสร้างภาพลักษณ์ของชาติ แต่ยังเป็นการส่งเสริมความสามัคคีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในสังคมอเมริกัน
การกลับมาของทรัมป์ในตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบาย แต่เป็นการฟื้นฟูวิสัยทัศน์และความทะเยอทะยานของอเมริกาที่จะกลับมายิ่งใหญ่ในทุกด้านอีกครั้ง ด้วยการผสมผสานระหว่างนโยบายที่แข็งกร้าวและการมุ่งเน้นประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก สหรัฐฯ ซึ่งทั้งหมดที่ร่ายมานี้เราอาจกะเก็งได้ว่า หรือ อเมริกาจะเข้าสู่ยุคทองของพวกเขาอีกครั้ง
เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ
อ้างอิง
https://time.com/7206595/donald-trump-day-one-promises-pardons-border-executive-order/
https://www.economist.com/united-states/2025/01/21/america-really-could-enter-a-golden-age
https://www.economist.com/united-states/2025/01/21/the-new-american-imperialism
https://www.economist.com/finance-and-economics/2025/01/20/donald-trump-issues-fresh-tariff-threats
https://www.cbsnews.com/news/trump-energy-emergency-executive-orders-inflation/
https://www.bbc.com/thai/international-38800947
–
