NVIDIA บริษัทกราฟิกการ์ดเบอร์ 1 ของโลกทำธุรกิจอย่างไรให้มูลค่าโตล้านล้านดอลลาร์

ในโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคที่อุตสาหกรรม AI กำลังเติบโต NVIDIA ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปประมวลผลกราฟิก (Grapicial Processing Unit: GPU) และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ในบทความนี้เราอยากเล่าเรื่องราวของจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในปี 1993 บริษัทนี้ได้เติบโตจนมีมูลค่าตลาดเกินกว่า 3.29 ล้านล้านดอลลาร์ (ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2025) บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับบริษัทผู้ผลิตการ์ดจอที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบันอย่าง NVIDIA และกลยุทธ์ที่ทำให้บริษัทแห่งนี้เติบโตแบบก้าวกระโดดตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา พวกเขาดำเนินธุรกิจอย่างไร และอะไรทำให้บริษัทแห่งนี้ยังคงยืนระยะอยู่ได้แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนและเทคโนโลยีจะก้าวล้ำนำหน้าไปมากเท่าไร

จาก Startup สู่ยักษ์ใหญ่ AI

ช่วงเริ่มต้น 1993-1998

NVIDIA Corporation ก่อตั้งเมื่อปี 1993 โดย Jensen Huang, Chris Malachowsky และ Curtis Priem สำหรับการแบ่งหน้าที่กันดูแลบริษัท Jensen Huang ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ NVIDIA  Jensen Huang เกิดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1963 ที่เมืองไท่หนาน ในไต้หวัน ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่ประเทศไทยในวัยเด็ก และต่อมาได้ย้ายไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมไฟฟ้าจาก Oregon State University และปริญญาโทด้านวิศวกรรมไฟฟ้าจาก Stanford University

ก่อนก่อตั้ง NVIDIA ในปี 1993 เขาเคยทำงานเป็นผู้อำนวยการฝ่าย CoreWare ที่ LSI Logic ซึ่งเขาดูแลการพัฒนา System-on-a-Chip (SoC) และยังเคยมีประสบการณ์ในการออกแบบไมโครโพรเซสเซอร์ที่ Advanced Micro Devices (AMD)

ในส่วนของ Chris Malachowsky สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จาก University of Florida ซึ่งต่อมาเขายังมีส่วนร่วมอย่างมากกับมหาวิทยาลัยในฐานะผู้สนับสนุนด้านการศึกษาและนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี

ก่อนร่วมก่อตั้ง NVIDIA ในปี 1993 Malachowsky เคยทำงานในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และชิปกราฟิกมาก่อน โดยมีประสบการณ์ที่สำคัญจากการทำงานกับ Hewlett-Packard (HP) และ Sun Microsystems ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในยุคนั้น

ที่ NVIDIA เขามีบทบาทหลักในการออกแบบโครงสร้างสถาปัตยกรรมชิป GPU และเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้านเทคนิคของบริษัท ปัจจุบันเขายังคงมีบทบาทใน NVIDIA ในฐานะ NVIDIA Fellow และเป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้ เขายังให้การสนับสนุนโครงการการศึกษาด้าน AI และวิศวกรรมในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วโลก

อีกหนึ่งคนที่ถือว่ามีบทบาทสำคัญต่อความก้าวหน้าของ NVIDIA ก็คือ Curtis Priem วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีกราฟิก เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้าน วิศวกรรมไฟฟ้า จาก Rensselaer Polytechnic Institute (RPI) ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านวิศวกรรมในสหรัฐอเมริกา

ก่อนก่อตั้ง NVIDIA ในปี 1993 Priem เคยทำงานที่ IBM ในตำแหน่งวิศวกรออกแบบระบบ ต่อมาย้ายไปทำงานที่ Sun Microsystems ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการออกแบบ GX Graphics Chip ที่ใช้ในระบบเวิร์กสเตชันของ Sun

ที่ NVIDIA Priem รับตำแหน่งเป็น Chief Technology Officer (CTO) และเป็นผู้นำด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมกราฟิก เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนา GPU รุ่นแรกของ NVIDIA ซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มต้นในการวางรากฐานให้กับเทคโนโลยีกราฟิกของ NVIDIA จนสามารถครองตลาดได้ในปัจจุบัน

Priem ออกจาก NVIDIA ในปี 2003 แต่ยังคงมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษาและนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี ปัจจุบันเขามุ่งเน้นงานด้านการกุศลและเป็นผู้สนับสนุนหลักของ Curtis R. Priem Experimental Media and Performing Arts Center (EMPAC) ที่ Rensselaer Polytechnic Institute (RPI)

Jensen Huang, Chris Malachowsky, Curtis Priem 3 ผู้ก่อตั้ง NVIDIA

ในช่วงแรกของการดำเนินธุรกิจของ NVIDIA คือ การพัฒนาไมโครโพรเซสเซอร์ที่สามารถรองรับวิดีโอแบบเคลื่อนไหวเต็มรูปแบบและระบบเสียงสเตอริโอในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล บริษัทดำเนินธุรกิจแบบ “fabless” หรือก็คือ NVIDIA ไม่มีโรงงานผลิต Hardware เป็นของตัวเองสำหรับการผลิตแผ่นเวเฟอร์และวงจรรวม (ICs) สำหรับโพรเซสเซอร์กราฟิกของบริษัท

ในช่วงปี 1993 -1994 กำลังการผลิตของโรงงานผู้ผลิตชิปขั้นสูง มีความจำกัดอยู่สูง เนื่องจากความต้องการที่สูง ตอนนั้น NVIDIA ต้องการเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตระดับชิประดับ 0.5 ไมครอนเพื่อให้สามารถผลิตโพรเซสเซอร์ที่มีต้นทุนต่ำในปริมาณมาก บริษัทไม่สามารถพึ่งพากำลังการผลิตที่เหลืออยู่จากโรงงานผลิตเวเฟอร์รุ่นเก่าได้ ทำให้ในช่วงครึ่งหลังของปี 1994 NVIDIA ไปแสวงหาความร่วมมือกับ SGS-Thomson Microelectronics ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเวเฟอร์จากยุโรปที่มีโรงงานในฝรั่งเศสและอิตาลี ซึ่งเป็นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งแรกของบริษัท ช่วยให้ NVIDIA สามารถผลิตชิปกราฟิก GUI Accelerator แบบชิปเดี่ยว หรือการ์ดเสียง/กราฟิก ที่โรงงานของ SGS-Thomson ใกล้เมืองเกรอน็อบล์ ประเทศฝรั่งเศส ได้

โรงงานของ STMicroelectronics หรือเดิมคือ SGS-Thomson Microelectronics: STMicroelectronics

นอกจากนี้ NVIDIA ยังได้ทำข้อตกลงกับ Diamond Multimedia Systems เพื่อนำชิปไปใช้ในบอร์ดตัวเร่งมัลติมีเดีย

ข้อตกลงกับ SGS-Thomson ทำให้ NVIDIA สามารถเปิดตัว ตัวเร่งมัลติมีเดียตัวแรกของบริษัท นั่นคือ NV1 ในเดือนพฤษภาคมปี 1995 NV1 คือ ไมโครโพรเซสเซอร์ตัวแรกที่รวมความสามารถในการเร่งการแสดงผล GUI, การสังเคราะห์เสียงแบบ Wave-Table, การเร่งวิดีโอแบบเคลื่อนไหวเต็มรูปแบบ, การเรนเดอร์ 3 มิติ และพอร์ตเกมที่มีความแม่นยำสูงไว้ในชิปเดียว NV1 ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถแข่งขันกับเครื่องเล่นวิดีโอเกมในยุคนั้นได้ ตามข้อตกลงกับ SGS-Thomson NVIDIA ทำตลาด NV1 เวอร์ชัน VRAM สำหรับคอมพิวเตอร์ระดับสูง ขณะที่ SGS-Thomson จำหน่าย STG2000 ซึ่งเป็นเวอร์ชัน NV1 สำหรับ DRAM ไปยังตลาดผู้บริโภคจำนวนมาก การเปิดตัว NV1 ที่ประสบความสำเร็จช่วยให้ NVIDIA สามารถระดมทุนรอบแรกจากบริษัทเงินร่วมลงทุน Sequoia Capital และ Sierra Ventures

ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 Sega หนึ่งในบริษัทเกมยักษ์ใหญ่ของโลก และมีเครื่องเล่นเกมคอนโซลชื่อ Sega Saturn ซึ่งเป็นคอนโซล 32 บิต ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ PlayStation ของ Sony และ Nintendo 64 ของ Nintendo

เมื่อ NVIDIA เปิดตัว NV1 ซึ่งเป็น ชิปกราฟิกมัลติมีเดียตัวแรกของบริษัท ในปี 1995 เทคโนโลยีนี้สามารถรองรับกราฟิก 3D, วิดีโอเคลื่อนไหวเต็มรูปแบบ และระบบเสียงได้ในตัวเดียวกัน ทำให้ Sega of America สนใจในศักยภาพของ NV1 และเห็นว่าอาจช่วยให้เกมของตนสามารถรันบนพีซีได้อย่างลื่นไหล

ดังนั้น Sega ตัดสินใจร่วมมือกับ NVIDIA โดยนำเกมจากเครื่อง Sega Saturn มา พอร์ต (Port) หรือดัดแปลงให้สามารถเล่นบน คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) ที่ใช้ NV1 เป็นตัวประมวลผลกราฟิก ซึ่งหมายความว่า เกมที่เคยเล่นได้เฉพาะบนเครื่องคอนโซลของ Sega สามารถถูกแปลงให้เล่นบนพีซีได้โดยใช้เทคโนโลยีของ NVIDIA

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือนี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่คาดไว้ เนื่องจาก Sega เปลี่ยนแนวทางด้านฮาร์ดแวร์ของตน ทำให้ NV1 ไม่สามารถใช้งานได้กับแผนระยะยาวของ Sega ส่งผลให้ชิปตัวนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนมากนัก และในที่สุด NVIDIA ต้องเปลี่ยนแนวทางไปพัฒนา RIVA 128 ซึ่งเป็นชิปกราฟิกที่ตอบสนองตลาดพีซีมากขึ้นแทน

ในช่วงกลางปี 1996 มีผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ประมาณ 30 รายที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับชิป 3D ในตลาดกราฟิก และในอีกไม่กี่ปีต่อมาคาดว่าเทคโนโลยี 3D จะกลายเป็นคุณสมบัติมาตรฐานในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ในปีนั้น NVIDIA ให้การสนับสนุน Direct3D เพื่อสร้างความนิยมในหมู่ผู้พัฒนาเกม  NVIDIA ยังสามารถระดมทุนรอบที่สองจากบริษัทเงินร่วมลงทุนและมุ่งเน้นไปที่การส่งมอบเทคโนโลยีกราฟิกขั้นสูงสำหรับตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

ในช่วงครึ่งแรกของปี 1997 NVIDIA เปิดตัว RIVA 128 (Real-time Interactive Video Animation) ตัวเร่งมัลติมีเดีย 3D RIVA 128 ถูกเปิดตัวเพื่อตอบสนองต่อคำวิจารณ์จากผู้ผลิตอุปกรณ์ดั้งเดิม (OEMs) เกี่ยวกับ RV2 รุ่นที่สอง บริษัทเริ่มจัดส่ง RIVA 128 ไปยังผู้ผลิตบอร์ด เช่น Diamond Multimedia Systems และ STB Systems โดย SGS-Thomson Microelectronics รับผิดชอบตลาดยุโรป ญี่ปุ่น และเอเชียแปซิฟิก ส่วน NVIDIA รับผิดชอบตลาดสหรัฐอเมริกา

ในช่วงต้นปี 1998 NVIDIA ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำในตลาดกราฟิก 3D (3มิติ) ประสิทธิภาพสูง นักวิเคราะห์รายหนึ่งประมาณการว่า ณ สิ้นปี 1997 NVIDIA ถือครองส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 24 ซึ่งทำให้ NVIDIA มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในกลุ่มบริษัทกราฟิกประสิทธิภาพสูง

เดือนมีนาคม 1998 NVIDIA เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 2 รายการ ได้แก่ RIVA 128ZX และ RIVA TNT RIVA 128ZX เป็นรุ่นอัปเกรดของ RIVA 128 ที่เพิ่มประสิทธิภาพด้านกราฟิกและมุ่งเป้าหมายไปที่ตลาดองค์กร ส่วน RIVA TNT (TwiN Texture) เป็นโพรเซสเซอร์ 3D ที่รองรับ Multi-Texturing ตัวแรกของอุตสาหกรรม สามารถทำงานได้ที่ความเร็ว 125-150 ล้านพิกเซลต่อวินาที และสูงสุด 250 ล้านพิกเซลต่อวินาที ในช่วงพีค ตามความเห็นของนักวิเคราะห์บางราย RIVA TNT เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของการประมวลผลกราฟิก ช่วยให้ผู้ออกแบบชิปสามารถคำนวณพิกเซลและนำเอฟเฟกต์ต่าง ๆ เช่น สี เงา แสง และการกรองภาพมาใช้งานได้อย่างเต็มที่

การ์ดจอรุ่น RIVA 128ZX ที่ NVIDIA เปิดตัวในปี 1998: Techpowerup

ในช่วงต้นปี 1998 NVIDIA มีแผนที่จะนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ผ่านการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO-Initial Public Offering) ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้บริษัทสามารถระดมทุนจากนักลงทุนสาธารณะเพื่อนำไปขยายธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม NVIDIA ตัดสินใจเลื่อนแผน IPO ออกไปจนถึงเดือนมกราคม 1999 สาเหตุสำคัญคือระหว่างปี 1998 บริษัทถูกฟ้องร้องเรื่อง การละเมิดสิทธิบัตร โดยมีบริษัทคู่แข่งหลายรายที่ยื่นฟ้อง ได้แก่

  • Silicon Graphics Inc. (SGI)-บริษัทเทคโนโลยีกราฟิกที่เคยเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม
  • S3 Inc.-ผู้ผลิตชิปกราฟิกที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น
  • 3dfx Interactive Inc.-หนึ่งในคู่แข่งหลักของ NVIDIA ในตลาดการ์ดจอ

ประเด็นหลักของคดีความ เหล่านี้เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยี Multi-Texturing ของ NVIDIA ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยให้ GPU สามารถประมวลผลพื้นผิวและรายละเอียดของวัตถุ 3D ได้สมจริงและรวดเร็วยิ่งขึ้น บริษัทคู่แข่งอ้างว่า NVIDIA ละเมิดสิทธิบัตรของพวกเขาในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้

แม้จะเผชิญกับปัญหาทางกฎหมาย แต่ NVIDIA ก็ยังคงได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรม โดยผลิตภัณฑ์ RIVA TNT ซึ่งเป็นการ์ดจอประสิทธิภาพสูงที่เปิดตัวในปี 1998 ได้รับรางวัล “Editor’s Choice Award” จากนิตยสาร PC Magazine ซึ่งเป็นการยกย่องว่าเป็นการ์ดจอที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมที่สุดแห่งปี

นอกจากนี้ Fabless Semiconductor Association (FSA) ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุนบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่ไม่มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง ได้มอบรางวัล “บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ไร้โรงงานที่ได้รับความเคารพมากที่สุด” ให้กับ NVIDIA เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน สะท้อนถึงการเติบโตของบริษัทและความน่าเชื่อถือในวงการเทคโนโลยี แม้ว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาทางกฎหมายก็ตาม

 

นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี 1998 งานแสดงสินค้า COMDEX ซึ่งเป็นหนึ่งในงานเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในโลก ณ เวลานั้น ได้กลายเป็นเวทีที่ NVIDIA ใช้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ชื่อว่า NVIDIA Vanta

NVIDIA Vanta เป็น ชิปกราฟิก (GPU) รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อตลาดคอมพิวเตอร์องค์กร (Corporate Desktop Market) ซึ่งหมายความว่า มันถูกพัฒนาขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อเล่นเกม แต่เพื่อ รองรับการใช้งานทางธุรกิจ เช่น การประมวลผลเอกสาร งานออกแบบเบื้องต้น และการแสดงผลภาพคุณภาพสูงในคอมพิวเตอร์สำนักงาน

คุณสมบัติหลักของ NVIDIA Vanta

  • ราคาประหยัด-ออกแบบมาเพื่อให้บริษัทต่าง ๆ สามารถติดตั้งการ์ดจอคุณภาพสูงได้ในงบที่คุ้มค่า
  • ประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับงานธุรกิจ-รองรับกราฟิก 2D และ 3D ในระดับพื้นฐาน แต่ไม่เน้นการเล่นเกม
  • เสถียรภาพสูง-เหมาะสำหรับการใช้งานในองค์กรที่ต้องการระบบกราฟิกที่มีความเสถียร

ก่อนหน้าที่จะมี NVIDIA Vanta บริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการใช้ ชิปกราฟิกในคอมพิวเตอร์สำนักงาน มักจะต้องเลือกระหว่าง GPU ระดับสูงที่แพงเกินไป หรือ GPU ราคาถูกที่มีคุณภาพต่ำ Vanta เข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ ด้วยการให้ประสิทธิภาพที่ดีเพียงพอสำหรับการใช้งานด้านธุรกิจ ในราคาที่เข้าถึงได้

ผลลัพธ์ของการเปิดตัว NVIDIA Vanta

  • ช่วยให้ NVIDIA สามารถขยายตลาดจากวงการเกมไปสู่ตลาดองค์กร
  • ทำให้บริษัทคอมพิวเตอร์และองค์กรขนาดใหญ่เริ่มนำผลิตภัณฑ์ของ NVIDIA ไปใช้งานมากขึ้น
  • สร้างรายได้เสริมจากตลาดที่ไม่ใช่เกม ซึ่งช่วยให้บริษัทเติบโตอย่างมั่นคง

การเปิดตัว NVIDIA Vanta เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ช่วยให้ NVIDIA ไม่ได้เป็นแค่บริษัทผลิตการ์ดจอสำหรับเกมเมอร์อีกต่อไป แต่เริ่มขยายตัวสู่ตลาดคอมพิวเตอร์สำหรับธุรกิจและองค์กร ซึ่งกลายเป็น หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีต่อ ๆ มา

 

NVIDIA VANTA เข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่ทำให้องค์กรไม่จำเป็นต้องเสียงบประมาณไปกับ GPU ราคาสูงโดยไม่จำเป็น: Techpowerup

การเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง (1999-2002)

ในเดือนมกราคม 1999 NVIDIA ได้เสนอขายหุ้นต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก (IPO-Initial Public Offering) ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในการขยายธุรกิจและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมกราฟิก

หลังจากเสนอขายหุ้น IPO บริษัทก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากอุตสาหกรรมกราฟิกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและผลิตภัณฑ์ของ NVIDIA โดยเฉพาะ ซีรีส์ RIVA ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด

ปีงบประมาณสิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม 1999

  • รายได้ของ NVIDIA เพิ่มขึ้นเป็น 158.2 ล้านดอลลาร์
  • รายได้เติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 13.3 ล้านดอลลาร์ในปี 1998
  • มีกำไรสุทธิ 4.1 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า

การเติบโตนี้สะท้อนถึงความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นสำหรับการ์ดจอที่มีประสิทธิภาพสูง รวมถึงการขยายตัวของเกม 3D และคอมพิวเตอร์ที่ต้องการกราฟิกที่ดียิ่งขึ้น

ในระหว่างปี 1999 NVIDIA ยังคงขยายไลน์ผลิตภัณฑ์และเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ในเดือนมีนาคม บริษัทเปิดตัว Vanta รุ่น 64 บิต เพื่อตอบสนองตลาดคอมพิวเตอร์ระดับล่าง (Low-End PC Market) และในช่วงกลางปี 1999 NVIDIA เปิดตัว TNT2 ซึ่งได้รับคะแนนจาก Computer Gaming World ว่ามีประสิทธิภาพ เร็วกว่า TNT รุ่นแรกถึง 30% เมื่อทดสอบบนบอร์ด Diamond Viper 770 NVIDIA ยังเปิดตัวชุดไดรเวอร์ซอฟต์แวร์ใหม่สำหรับ TNT และ TNT2 ซึ่งได้รับการปรับแต่งให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดร่วมกับโพรเซสเซอร์ของ Advanced Micro Devices (AMD)

ในเดือนกรกฎาคม 1999 NVIDIA และ Silicon Graphics Inc. (SGI) ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อจาก Silicon Graphics Inc. บรรลุข้อตกลงในการยุติคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับสิทธิบัตร และทั้งสองบริษัทได้เข้าสู่ ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ โดยมีข้อตกลงให้แลกเปลี่ยนสิทธิบัตรระหว่างกันในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน SGI ได้ถ่ายโอนวิศวกรกราฟิกเกือบ 50 คน ให้กับ NVIDIA อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างองค์กร

ในช่วงเวลาเดียวกัน NVIDIA ได้จับมือกับ Acer Labs Inc. (ALI) ซึ่งเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์จากไต้หวัน เพื่อพัฒนา โพรเซสเซอร์กราฟิก 3D แบบผสมผสาน (Integrated 3D Graphics Processor) ที่สามารถรวมเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ระดับล่าง ได้โดยตรง นี่เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ช่วยให้ NVIDIA สามารถเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์พีซีราคาประหยัด ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงปลายยุค 90

GeForce 256 การปฏิวัติวงการกราฟิกที่เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์

ใน เดือนสิงหาคม 1999 NVIDIA ได้เปิดตัว GeForce 256 ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น “GPU ตัวแรกของโลก” (The World’s First GPU-Graphics Processing Unit) นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการกราฟิกคอมพิวเตอร์ เพราะมัน สามารถแยกงานประมวลผลกราฟิกออกจาก CPU ได้อย่างสมบูรณ์

ก่อนหน้าที่ GeForce 256 จะถือกำเนิดขึ้น คอมพิวเตอร์ต้องพึ่งพา CPU ในการประมวลผลกราฟิก เป็นหลัก ซึ่งทำให้ CPU ต้องแบ่งพลังประมวลผล ไปทำทั้งงานทั่วไป (เช่น คำนวณตัวเลข รันโปรแกรม) และงานกราฟิก (เช่น การแสดงผล 3D, เอฟเฟกต์ภาพ)

GeForce 256 เปลี่ยนทุกอย่างไปโดยสิ้นเชิง

  • เป็นชิปตัวแรกที่สามารถประมวลผลกราฟิกทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องใช้ CPU ช่วย
  • ช่วยลดภาระของ CPU ทำให้สามารถทำงานอื่นได้เร็วขึ้น
  • เพิ่มคุณภาพและความสมจริงของกราฟิก ได้มากกว่าที่เคยมีมา

NVIDIA GeForce 256: Wikipedia

ในปี 1999 ตลาดพีซีสำหรับผู้ใช้ทั่วไปยังคงถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ๆ คือ พีซีประสิทธิภาพสูงที่มาพร้อมกับการ์ดจอแยก และพีซีราคาถูกที่ใช้ชิปกราฟิกฝังในเมนบอร์ด ปัญหาสำคัญของคอมพิวเตอร์ราคาถูกในขณะนั้นคือ ชิปกราฟิกในตัวมีประสิทธิภาพต่ำ ทำให้การแสดงผล 3D และการเล่นเกมพื้นฐานทำได้อย่างจำกัด NVIDIA มองเห็นช่องว่างนี้และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถให้กราฟิกคุณภาพสูงในราคาที่จับต้องได้

Aladdin TNT2 เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง NVIDIA และ Acer Labs Inc. (ALI) จุดเด่นของมันคือ การผสานเอาชิปกราฟิก TNT2 ของ NVIDIA เข้ากับชิปเซต Northbridge ของ Acer Labs ซึ่งช่วยให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์สามารถสร้างพีซีที่มีกราฟิกคุณภาพดีขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนมากนัก

เป้าหมายหลักของ Aladdin TNT2 คือ ตลาดพีซีที่มีราคาไม่เกิน 1,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีผู้ใช้จำนวนมาก เนื่องจากเป็นช่วงราคาที่ได้รับความนิยมสูง ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์สามารถใช้ Aladdin TNT2 เป็นทางเลือกในการเพิ่มศักยภาพด้านกราฟิกให้กับพีซีของตนโดยไม่ต้องลงทุนกับการ์ดจอแยกที่มีราคาแพง ผลิตภัณฑ์นี้ทำให้พีซีราคาประหยัดสามารถรองรับ การเล่นเกมพื้นฐาน, การแสดงผลวิดีโอ และงานด้านมัลติมีเดีย ได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การเปิดตัว Aladdin TNT2 ถือเป็นก้าวสำคัญของ NVIDIA ในการขยายตลาดจากเกมเมอร์และผู้ใช้ระดับสูงไปสู่ตลาดคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ซึ่งเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นและช่วยให้บริษัทมีรายได้จากกลุ่มผู้ใช้ที่หลากหลายมากขึ้น

ในขณะที่ Aladdin TNT2 เจาะตลาดพีซีระดับล่าง Quadro ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้ระดับสูงในอุตสาหกรรมเวิร์กสเตชัน โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานด้าน วิศวกรรม, ออกแบบ 3D, แอนิเมชัน และงานตัดต่อวิดีโอระดับมืออาชีพ

ก่อนหน้าที่ NVIDIA จะเปิดตัว Quadro ตลาด เวิร์กสเตชัน GPU ถูกครอบครองโดยบริษัทเช่น SGI (Silicon Graphics), 3Dlabs และ ATI (ปัจจุบันคือ AMD) การ์ดจอสำหรับเวิร์กสเตชันในยุคนั้นถูกออกแบบมาให้สามารถประมวลผลภาพ 3D ที่ซับซ้อนมากกว่าการ์ดจอสำหรับเกมทั่วไป มีความแม่นยำในการคำนวณสูง รองรับการใช้งานกับซอฟต์แวร์เฉพาะทาง เช่น Autodesk Maya, 3ds Max, CATIA และ Adobe Premiere Pro

Quadro ถือเป็น GPU ตัวแรกของ NVIDIA ที่ออกแบบมาเพื่อมืออาชีพด้านกราฟิกโดยเฉพาะ แตกต่างจาก GeForce ซึ่งเน้นการเล่นเกมเป็นหลัก Quadro ถูกปรับแต่งให้รองรับการคำนวณที่แม่นยำยิ่งขึ้น และรองรับไดรเวอร์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับแอปพลิเคชันมืออาชีพ ซึ่งช่วยให้ซอฟต์แวร์ออกแบบและแอนิเมชันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการ์ดจอเกมทั่วไป

การเปิดตัว Quadro ส่งผลให้ NVIDIA สามารถขยายตลาดของตนจากเกมเมอร์และผู้ใช้ทั่วไปไปสู่ กลุ่มผู้ใช้มืออาชีพ ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำไรสูงกว่าตลาดเกมมาก เนื่องจาก เวิร์กสเตชัน GPU มีราคาสูงกว่าและถูกใช้งานในอุตสาหกรรมที่ต้องการประสิทธิภาพระดับสูง

ในปี 1999 มีรายงานว่า NVIDIA ว่ามีรายได้ 374.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า จากปีที่แล้ว และมีกำไรสุทธิ 41 ล้านดอลลาร์ หลังจากปีที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง บริษัทเริ่มก่อสร้าง สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในเมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย ในเดือนมกราคม 2000 บริษัทได้ยื่นฟ้องคู่แข่งอย่าง S3 Inc. ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตร 5 ฉบับ แต่ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ในเดือนถัดมาโดยมีข้อตกลง แลกเปลี่ยนสิทธิบัตรเป็นระยะเวลา 7 ปี ในเดือนเมษายน NVIDIA ประกาศแผนการออกหุ้นและพันธบัตรรอบใหม่เพื่อระดมทุนประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาเดียวกัน บริษัทได้รับเงินล่วงหน้า 200 ล้านดอลลาร์ จาก Microsoft Corporation ซึ่งเลือกให้ NVIDIA เป็น ซัปพลายเออร์เพียงรายเดียวของชิปกราฟิกสำหรับเครื่องเล่นเกม X-Box ที่กำลังจะเปิดตัว

การแข่งขันกับ ATI และการเปิดตัว GeForce 2 GTS

หลายปีต่อมา NVIDIA และ ATI Technologies Inc. แข่งขันกันเพื่อเป็นอันดับหนึ่งของตลาดกราฟิก ในงาน Windows Hardware Engineering Conference (WinHEC) ปี 2000 ATI ได้เปิดตัวชิปกราฟิกใหม่ที่อ้างว่าเป็นชิปที่ดีที่สุดในตลาด อย่างไรก็ตาม เพียง 24 ชั่วโมงถัดมา NVIDIA ได้เปิดตัว GeForce 2 GTS ซึ่งมีประสิทธิภาพ เร็วกว่า GeForce 256 ถึง 2 เท่า ชิป ATI Radeon 256 สามารถประมวลผลได้สูงสุด 1.5 พันล้านเท็กเซลต่อวินาที ในขณะที่ GeForce 2 GTS สามารถทำได้ 1.6 พันล้านเท็กเซลต่อวินาที แม้ว่า NVIDIA จะสามารถอ้างว่าเป็น เจ้าของชิปกราฟิกที่เร็วที่สุด แต่บริษัทก็ยังคงตามหลัง ATI ในแง่ของส่วนแบ่งตลาด โดยมีส่วนแบ่งประมาณ 25-30% ของตลาดกราฟิกทั้งหมด

การขยายตลาดสู่กราฟิกแบบพกพาและชิปสำหรับ X-Box

NVIDIA เปิดตัว GeForce 2 MX ในเดือนมิถุนายนปี 2000 เพื่อเจาะตลาดกราฟิกสำหรับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแบบ Mainstream GeForce 2 MX ใช้พลังงานเพียง 4 วัตต์ ทำให้เหมาะสำหรับ โน้ตบุ๊ก, คอมพิวเตอร์เวิร์กสเตชัน และคอมพิวเตอร์ Macintosh ของ Apple นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติ Twin-Display Architecture ที่รองรับการใช้งานหลายหน้าจอ และ เทคโนโลยีควบคุมสีดิจิทัล ที่ช่วยปรับคุณภาพของกราฟิก 2D และ 3D ให้สว่างและคมชัดขึ้น

ในเดือนพฤศจิกายน 2000 NVIDIA เปิดตัว GeForce 2 Go ซึ่งเป็น GPU สำหรับโน้ตบุ๊กเครื่องแรกของอุตสาหกรรม โดย CEO Jen-Hsun Huang กล่าวในงาน Comdex 2000 ว่า “GeForce 2 Go เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท”

การพัฒนาชิปสื่อสารสำหรับ X-Box

ในช่วงปลายปี 2000 NVIDIA ประกาศเปิดตัว ชิป Companion ด้านการสื่อสารสำหรับ X-Box ซึ่งเป็น Media Communications Processor (MCP) ซึ่งเป็น ซูเปอร์ชิป ที่รวมเอาฟังก์ชัน I/O, การสื่อสาร และการประมวลผลเสียงเข้าไว้ด้วยกัน MCP นอกจากจะรองรับ X-Box แล้ว ยังถูกออกแบบให้ใช้งานใน สถาปัตยกรรมพีซีและอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตแห่งอนาคต ด้วยเทคโนโลยีการประมวลผลสัญญาณของ NVIDIA ทำให้ MCP สามารถประมวลผลสัญญาณเสียงและเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์หรือเครือข่ายไร้สายได้

นอกจากนี้ NVIDIA ยังคงดำเนินการปกป้องสิทธิบัตรของตนอย่างเข้มแข็ง หลังจากที่ได้ทำข้อตกลงกับ S3 ในช่วงต้นปี NVIDIA ได้ยื่นฟ้อง 3dfx Interactive Inc. ในเดือนสิงหาคมโดยกล่าวหาว่าบริษัทละเมิดสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการเร่งกราฟิก ขณะเดียวกัน 3dfx ก็มีคดีความอยู่กับ NVIDIA เช่นกัน และในเดือนตุลาคม ศาลตัดสินให้ 3dfx ชนะคดี อย่างไรก็ตาม ในเดือนธันวาคม NVIDIA ประกาศเข้าซื้อ สินทรัพย์ของ 3dfx Interactive ด้วยมูลค่า 70 ล้านดอลลาร์ และ หุ้นสามัญของ NVIDIA จำนวน 1 ล้านหุ้น การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ทำให้ NVIDIA สามารถรวมเอาทรัพย์สินทางปัญญาและเทคโนโลยีของ 3dfx มาเสริมศักยภาพของบริษัทได้

สำหรับปีงบประมาณสิ้นสุดวันที่ 28 มกราคม 2001 NVIDIA รายงานรายได้อยู่ที่ 735.3 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปีก่อนหน้า โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 98.5 ล้านดอลลาร์ บริษัทได้รับรางวัลหลายรายการจากงาน Comdex Fall 2000 และได้รับรางวัล Editor’s Choice Award จาก Cadence Magazine

ในช่วงต้นปี 2001 ตลาดกราฟิกยังคงเติบโตแข็งแกร่ง แม้ว่าจะมีการรวมตัวของอุตสาหกรรมมากขึ้นก็ตาม ตามรายงานของ Electronic Buyers’ News (EBN) จำนวนบริษัทที่ผลิตคอนโทรลเลอร์กราฟิกลดลงจาก 45 ราย เหลือเพียง 12 ราย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตกราฟฟิกหลายบริษัท อย่าง S3 Inc., NeoMagic Corporation และ Intel Corporation ได้ออกจากตลาดกราฟิก ไม่ก็ปรับลดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ลง

ตลอดปี 2001 NVIDIA ยังคงสร้างสถิติรายได้ใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยปิดปีด้วยรายได้ 1.37 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปีก่อนหน้า ขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 176.9 ล้านดอลลาร์ ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 16.50 ดอลลาร์ ในช่วงต้นปีเป็น 66.90 ดอลลาร์ ในช่วงสิ้นปี 2001

ในเดือนธันวาคม 2001 NVIDIA ถูกเลือกให้แทนที่ Enron Corporation ในดัชนี S&P 500 และได้รับรางวัล “บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ไร้โรงงานที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด” จาก Fabless Semiconductor Association

การพัฒนาชิปกราฟิกสำหรับ Microsoft X-Box

ตลอดปี 2001 NVIDIA ได้พัฒนา ชิปกราฟิกสำหรับเครื่องเล่นเกม Microsoft X-Box ซึ่งได้รับการตั้งชื่อว่า GeForce 3 GeForce 3 เป็นหัวใจหลักของกราฟิกที่ใช้ใน X-Box ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในช่วงปลายปี นอกจากนี้ GeForce 3 ยังเป็น GPU ที่สามารถโปรแกรมได้ (Programmable GPU) ตัวแรกของอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับเลือกจาก OEMs ชั้นนำของโลกทั้งหมด

GeForce 3 มาพร้อมกับคุณสมบัติที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างเอฟเฟกต์พิเศษ เช่น การควบคุมแสงเงาแบบกำหนดเองและเอฟเฟกต์พิกเซลแบบเฉพาะทาง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2001 NVIDIA ได้ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ GeForce 2 และในเดือนตุลาคมได้เปิดตัว เวอร์ชันปรับปรุงของ GeForce 3 ภายใต้ชื่อ Titanium Series

นอกจากนี้ NVIDIA ยังเปิดตัว ชิปเซตตระกูล nForce ซึ่งเป็นการขยายเข้าสู่ตลาด ชิปเซตหลัก (Core Logic Market) ที่จะทำให้บริษัทต้องแข่งขันโดยตรงกับ Intel Corporation และผู้ผลิตชิปเซตรายอื่น ๆ nForce ประกอบไปด้วย คอนโทรลเลอร์กราฟิกแบบฝังตัว และ โพรเซสเซอร์เสียงแบบแยกต่างหาก ซึ่งออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพดีกว่าชิปกราฟิกสำหรับพีซีทั่วไปถึง 10 เท่า และได้รับการออกแบบให้รองรับ โปรเซสเซอร์ AMD Athlon และ Duron และถูกนำเสนอให้กับผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ OEM สำหรับคอมพิวเตอร์ที่ผลิตในปริมาณมาก

การเผชิญกับปัญหาการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลวงใน

หลังจากราคาหุ้นของ NVIDIA เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในเดือนตุลาคมปี 2001 บริษัทต้องเผชิญกับปัญหาทางกฎหมายเมื่อพนักงานบางส่วนถูก คณะลูกขุนใหญ่ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (Federal Grand Jury) ตั้งข้อหาในคดี ซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลวงใน (Insider Trading) วิศวกรคนหนึ่งถูกปรับเป็นเงิน 250,000 ดอลลาร์ ในช่วงต้นปี 2002 NVIDIA ได้ประกาศว่ากำลังดำเนินการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับกระบวนการทางบัญชีบางอย่างเพื่อตอบสนองต่อการสอบสวนของ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC-Securities and Exchange Commission)

2002 ปีที่ท้าทายของ NVIDIA

ปี 2002 เป็นปีที่ท้าทายสำหรับ NVIDIA แม้ว่าบริษัทจะรายงานรายได้ในไตรมาสแรกที่ 582.9 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของบริษัท แต่รายได้และกำไรสุทธิของบริษัท ลดลงในไตรมาสที่สองและสาม ในไตรมาสที่สาม NVIDIA รายงานผลขาดทุน 48.6 ล้านดอลลาร์ จากรายได้ 430.3 ล้านดอลลาร์ สาเหตุของรายได้ที่ลดลงมาจาก การชะลอตัวของตลาดพีซีโดยรวม รวมถึงการตัดค่าใช้จ่ายสินค้าคงคลังของชิป nForce รุ่นแรก

ปัญหาเพิ่มเติมของ NVIDIA คือข้อพิพาทกับ Microsoft เกี่ยวกับ ราคาของชิปกราฟิกที่ใช้ใน X-Box Microsoft พยายามกดดันให้ NVIDIA ลดราคาของชิปลงจากที่ตกลงไว้ในสัญญาเดิม

แม้จะมีความท้าทาย NVIDIA หลายอย่างเข้ามาแต่ NVIDIA ก็ยังคงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น GeForce 4 Graphics Accelerator ซึ่งให้ประสิทธิภาพ 3D ที่ดีขึ้นมาก, Quadro 4 Family of GPUs สำหรับเวิร์กสเตชัน, และ NVDVD ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์เครื่องเล่น DVD และตัวถอดรหัสที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเล่น DVD สำหรับคอมพิวเตอร์พีซีและโน้ตบุ๊ก

GeForce 4 ใช้กระบวนการผลิต 0.15 ไมครอน มีจำนวนทรานซิสเตอร์ 63 ล้านตัว แบนด์วิดท์หน่วยความจำ 10.4 กิกะไบต์ต่อวินาที มีเฟรมบัฟเฟอร์ 128 เมกะไบต์ และทำงานที่ความเร็วคอร์ 300MHz ขณะที่ Quadro 4 เป็นโซลูชันกราฟิกระดับมืออาชีพที่ออกแบบมาสำหรับ แอนิเมชันตัวละครแบบเรียลไทม์, การพัฒนาเกมรุ่นต่อไป และการสร้างเอฟเฟกต์พิเศษ

ในช่วงปลายปี 2002 ขณะที่เผชิญกับความท้าทายของตลาด NVIDIA ตั้งเป้าหมายไปที่การเปิดตัวชิป NV30 รุ่นต่อไปในปี 2003 NV30 ใช้คอร์กราฟิกความเร็ว 500MHz และมี 8 Pixel Pipelines นอกจากนี้ NVIDIA ยังเป็นบริษัทแรกที่ใช้ หน่วยความจำ DDR-II ทำให้สามารถทำงานที่อัตราสูงถึง 1GHz

เพื่อรักษาความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีในตลาดกราฟิก NVIDIA ได้พัฒนา Cg (ภาษา C สำหรับงาน Graphics) ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรม 3D ระดับสูง และพยายามให้ Cg เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมเหนือกว่า OpenGL 2.0 ในเดือนกรกฎาคม 2002 NVIDIA ได้เข้าซื้อ Exluna Inc. ซึ่งเป็นบริษัทด้านการเรนเดอร์ภาพยนตร์คุณภาพสูง เพื่อสนับสนุนการใช้งาน CG ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์

2003 การเข้าซื้อกิจการ MediaQ

ในเดือนสิงหาคม 2003 NVIDIA ได้เข้าซื้อกิจการ MediaQ บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านโซลูชันกราฟิกสำหรับอุปกรณ์พกพา การเข้าซื้อ MediaQ ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของ NVIDIA ในตลาดอุปกรณ์เคลื่อนที่

2004 การพัฒนา GPU สำหรับ PlayStation 3

 

ในเดือนธันวาคม 2004 NVIDIA ประกาศความร่วมมือกับ Sony ในการออกแบบโพรเซสเซอร์กราฟิก RSX สำหรับเครื่องเล่นเกม PlayStation 3 ซึ่งเปิดตัวในปี 2006

2006 การเปิดตัวสถาปัตยกรรม Tesla และ CUDA

ในปี 2006 NVIDIA เปิดตัวสถาปัตยกรรม GPU ชื่อ Tesla ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแรกที่รองรับการประมวลผลแบบเชดเดอร์รวม (unified shader) นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัว CUDA (Compute Unified Device Architecture) แพลตฟอร์มที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถใช้ประโยชน์จากพลังการประมวลผลของ GPU ในการทำงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น การประมวลผลภาพทางการแพทย์ การจำลองทางวิทยาศาสตร์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI)

2008 การเข้าซื้อกิจการ Ageia Technologies

กุมภาพันธ์ ปี 2008 NVIDIA ได้เข้าซื้อกิจการ Ageia Technologies บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยี PhysX ซึ่งเป็นเอนจินฟิสิกส์ที่ใช้ในวิดีโอเกม การเข้าซื้อกิจการนี้ทำให้ NVIDIA สามารถรวมเทคโนโลยี PhysX เข้ากับ GPU ของตน

PhysX เป็น เอนจินฟิสิกส์ (Physics Engine) ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการ จำลองฟิสิกส์แบบเรียลไทม์ในวิดีโอเกมและแอปพลิเคชันกราฟิก

PhysX ทำอะไรได้บ้าง PhysX ช่วยให้เกมสามารถจำลองพฤติกรรมของวัตถุต่าง ๆ ให้สมจริงมากขึ้น โดยใช้พลังประมวลผลของ GPU (แทนที่จะใช้ CPU เพียงอย่างเดียว) ซึ่งช่วยเพิ่มความสมจริงในแง่ของ:

  • การเคลื่อนไหวของวัตถุ-วัตถุในเกมตอบสนองต่อแรงกระทำ เช่น แรงโน้มถ่วง แรงเสียดทาน และแรงกระแทกได้อย่างสมจริง
  • เอฟเฟกต์ของอนุภาค (Particles Effect)-การจำลองควัน ฝุ่น ระเบิด น้ำ และไฟที่เคลื่อนที่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  • ฟิสิกส์ของผ้าและเส้นผม (Cloth & Hair Physics)-ทำให้ผ้าและเส้นผมเคลื่อนไหวตามลม หรือตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของตัวละครได้อย่างสมจริง
  • การทำลายวัตถุ (Destruction Physics)-วัตถุสามารถแตกหักหรือเสียหายจากแรงกระทำ เช่น ผนังอาคารพังลงเมื่อโดนระเบิด หรือกระจกแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ

2012 จุดเริ่มต้นของยุค AI สมัยใหม่

ปี 2012 NVIDIA มีบทบาทสำคัญในการจุดประกายยุค AI สมัยใหม่ โดย GPU ของบริษัทถูกใช้ในการฝึกอบรมเครือข่ายประสาทเทียมที่มีความซับซ้อน เช่น AlexNet ซึ่งเป็นโมเดลที่ชนะการแข่งขัน ImageNet และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning)

2018 เปิดตัวสถาปัตยกรรม Turing และ NVIDIA RTX

NVIDIA ได้เปิดตัวสถาปัตยกรรม Turing ซึ่งนำเสนอเทคโนโลยี Ray Tracing แบบเรียลไทม์ ทำให้กราฟิกในเกมมีความสมจริงยิ่งขึ้น พร้อมกับเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในตระกูล NVIDIA RTX ซึ่งเป็น GPU รุ่นแรกที่รองรับการประมวลผล Ray Tracing แบบเรียลไทม์

2020 ความพยายามในการเข้าซื้อกิจการ ARM

กันยายน 2020 NVIDIA ได้ประกาศแผนการเข้าซื้อกิจการ ARM บริษัทออกแบบชิปสัญชาติอังกฤษ ด้วยมูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 NVIDIA ได้ยกเลิกแผนการดังกล่าวเนื่องจากปัญหาด้านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล (เพราะกังวลเรื่องการครอบงำตลาด)

2022 เปิดตัวแพลตฟอร์ม NVIDIA Omniverse

NVIDIA ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม NVIDIA Omniverse ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับการสร้างและจำลองโลกเสมือนจริง ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์เนื้อหา 3D และจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2023 มูลค่าบริษัททะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์

ในปี 2023 NVIDIA ได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นบริษัทที่ 6 ของสหรัฐอเมริกาที่สามารถทำได้

และในเดือนมีนาคม 2024 มูลค่าตลาดของ NVIDIA ได้ทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์ กลายเป็นบริษัทที่ 3 ของโลกที่สามารถทำได้ต่อจาก Microsoft และ Apple

NVIDIA ทำธุรกิจอย่างไรถึงทำให้บริษัทเติบโตจนมีมูลค่านับล้านล้านดอลลาร์

การเดินทางของ NVIDIA สู่การเป็นบริษัทที่มีมูลค่าล้านดอลลาร์และเป็นผู้นำระดับโลกในตลาด GPU และ AI เป็นเรื่องราวของการมองการณ์ไกลเชิงกลยุทธ์ รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมอย่างไม่ลดละ และความสามารถในการปรับตัว

ตั้งแต่การก่อตั้งในปี 1993 โดย Jensen Huang, Chris Malachowsky และ Curtis Priem NVIDIA ก็ได้พัฒนานวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง ขยายธุรกิจจากการ์ดจอสำหรับเล่นเกมไปสู่การเป็นกำลังสำคัญในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) รถยนต์ไร้คนขับ (Self-Autonomous Car) และอื่น ๆ ความสำเร็จของบริษัทสามารถอธิบายได้ด้วยกลยุทธ์และการตัดสินใจสำคัญหลายประการที่หล่อหลอมเส้นทางการเติบโตของบริษัท

ตั้งแต่แรกเริ่ม NVIDIA มุ่งเน้นไปที่การสร้าง GPU (หน่วยประมวลผลกราฟิก) ประสิทธิภาพสูงที่ปฏิวัติวงการกราฟิกคอมพิวเตอร์ การเปิดตัว GeForce 256 ในปี 1999 ซึ่งทำการตลาดในฐานะ GPU ตัวแรกของโลก ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับบริษัท นวัตกรรมนี้ทำให้ NVIDIA แตกต่างจากคู่แข่ง เช่น Intel และ AMD ด้วยการมอบประสิทธิภาพที่ไม่มีใครเทียบได้สำหรับการเล่นเกมและการแสดงภาพระดับมืออาชีพ แม้ว่าการเล่นเกมจะเป็นตลาดหลักของ NVIDIA ก็ตาม โดยซีรีส์ GeForce ยังคงครองตลาด GPU สำหรับการเล่นเกมอยู่ แต่บริษัทก็ตระหนักตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่า GPU สามารถใช้งานได้มากกว่าการเรนเดอร์กราฟิก

หนึ่งในการเคลื่อนไหวที่สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของ NVIDIA คือ การพัฒนา CUDA (Compute Unified Device Architecture) ในปี 2006 CUDA ช่วยให้นักพัฒนาสามารถใช้ GPU ของ NVIDIA สำหรับงานคอมพิวเตอร์ทั่วไป เช่น การจำลองทางวิทยาศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูล และการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning)

นวัตกรรมนี้ขยายขอบเขตของ NVIDIA ให้กว้างไกลออกไปไกลเกินกว่าการเล่นเกม ทำให้ NVIDIA กลายเป็นผู้เล่นที่สำคัญในสาขาใหม่ ๆ เช่น AI ด้วยการเปิดใช้การประมวลผลแบบขนานบน GPU ทำให้ CUDA กลายมาเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานสำหรับการวิจัยและพัฒนา AI ทำให้ NVIDIA กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ต้องพึ่งพาการเทรน AI

เนื่องจากความต้องการโซลูชัน AI เพิ่มมากขึ้น NVIDIA จึงกระจายธุรกิจของตัวเองไปยังตลาดใหม่ ๆ อย่างมีกลยุทธ์ บริษัทได้ระบุศูนย์ข้อมูลว่าเป็นพื้นที่การเติบโตที่สำคัญ และเริ่มพัฒนา GPU ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับเวิร์กโหลด AI ผลิตภัณฑ์เช่น GPU A100 และ H100 กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ที่ใช้ในแอปพลิเคชันตั้งแต่การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language ProcessingC ไปจนถึง Computer Vision

ชิปเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนระบบ Generative AI อย่าง ChatGPT ของ OpenAI และเทคโนโลยีล้ำสมัยอื่น ๆ ในปีงบประมาณ 2023 เพียงปีเดียว รายได้ของ NVIDIA Data Center สูงถึง 15,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งตอกย้ำถึงความโดดเด่นในภาคส่วนนี้

NVIDIA ยังใช้ประโยชน์จากการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) เพื่อเสริมสร้างความสามารถและขยายการมีอยู่ในตลาด การเข้าซื้อกิจการที่โดดเด่นที่สุดครั้งหนึ่งของบริษัทคือการเข้าซื้อ Mellanox Technologies ในปี 2020 ด้วยมูลค่า 6,900 ล้านดอลลาร์

Mellanox เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านโซลูชันเครือข่ายความเร็วสูง ซึ่งมีความสำคัญสำหรับศูนย์ข้อมูลที่ใช้เวิร์กโหลด AI การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับ Data Center ของ NVIDIA เท่านั้น แต่ยังทำให้บริษัทอยู่ในตำแหน่งผู้นำในด้านโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลประสิทธิภาพสูงอีกด้วย

แม้ว่าความพยายามของ NVIDIA ในการซื้อ ARM Holdings ซึ่งเป็นบริษัท IP ด้านเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำ จะถูกขัดขวางเนื่องจากข้อกังวลด้านกฎระเบียบ แต่การเคลื่อนไหวดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของบริษัทในการควบคุมห่วงโซ่คุณค่าของเซมิคอนดักเตอร์ให้มากขึ้น

นอกเหนือจากการครองตลาด AI และศูนย์ข้อมูลแล้ว NVIDIA ยังประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี GPU ในภาคส่วนยานยนต์ แพลตฟอร์ม NVIDIA DRIVE ขับเคลื่อนระบบยานยนต์ไร้คนขับด้วยความสามารถ AI ขั้นสูง

นอกจากนี้ NVIDIA ได้ก้าวหน้าในเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) ด้วยแพลตฟอร์ม Omniverse ซึ่งช่วยให้สามารถทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ในสภาพแวดล้อมจำลอง 3 มิติ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น สถาปัตยกรรม วิศวกรรม และความบันเทิง นอกจากนี้ NVIDIA ยังได้เริ่มลงทุนในการวิจัยคอมพิวเตอร์ควอนตัม ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความตั้งใจที่จะเป็นผู้นำการปฏิวัติทางเทคโนโลยีในอนาคต

ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ NVIDIA คือความสามารถในการใช้ประโยชน์จากแนวโน้มของตลาด ตัวอย่างเช่น ในขณะที่รัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกเพิ่มการลงทุนในความสามารถด้าน AI ของรัฐบาล ซึ่งเป็นระบบ AI ที่พัฒนาขึ้นในประเทศเพื่อรับประกันความปลอดภัยและความเป็นอิสระ

NVIDIA จึงวางตำแหน่งของตัวเองเป็นซัปพลายเออร์รายสำคัญในด้านฮาร์ดแวร์ที่จำเป็นสำหรับโครงการของรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ซึ่งทำให้ NVIDIA ก้าวล้ำนำหน้าคู่แข่งไปหลายช่วงตัว เพราะสามารถเข้าถึงแหล่งรายได้ใหม่ ๆ

ความมุ่งมั่นของ NVIDIA ต่อนวัตกรรมยังเห็นได้ชัดจากการลงทุนจำนวนมากในการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในปี 2024 เพียงปีเดียว บริษัทได้ใช้เงินไปเกือบ 8.7 พันล้านดอลลาร์ในการวิจัยและพัฒนา ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 73% ภายในระยะเวลา 5 ปี เพื่อทำให้บริษัทยังคงเป็นผู้นำในด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

เทคโนโลยีที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนให้ NVIDIA โตแบบก้าวกระโดด

NVIDIA ไม่ใช่เพียงบริษัทผลิตการ์ดจอสำหรับเล่นเกมอย่างที่หลายคนเคยรู้จัก แต่ปัจจุบัน  NVIDIA นี้ได้ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโลกยุคใหม่ ตั้งแต่ AI, Data Center, Cloud Computing ไปจนถึง Metaverse และ Quantum Computing การเติบโตอย่างมหาศาลของ NVIDIA ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความนิยมของอุตสาหกรรมเกมเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการปฏิวัติทางเทคโนโลยีหลายครั้งที่บริษัทเป็นผู้บุกเบิก และนี่คือเทคโนโลยี “Game Changer” ที่ทำให้ NVIDIA เติบโตจนมีมูลค่าตลาดสูงถึง 3.40 ล้านล้านดอลลาร์

CUDA  จุดเปลี่ยนของ GPU จากการ์ดจอเกม สู่การเป็นขุมพลัง AI

ย้อนกลับไปในปี 2006 NVIDIA ได้เปิดตัว CUDA (Compute Unified Device Architecture) เทคโนโลยีที่เปลี่ยนให้ GPU ไม่ได้เป็นเพียงชิปสำหรับการแสดงผลกราฟิกอีกต่อไป แต่สามารถใช้ในการประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อน เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), วิทยาศาสตร์ข้อมูล และการจำลองทางวิทยาศาสตร์ ได้

CUDA เปรียบเสมือนระบบปฏิบัติการของ GPU: NVIDIA

ก่อนหน้าที่ CUDA จะถูกคิดค้นขึ้นมา GPU ถูกใช้เพื่อสร้างภาพกราฟิกเท่านั้น แต่ด้วย CUDA นักพัฒนาเริ่มสามารถใช้ GPU เพื่อเร่งความเร็วการประมวลผลของซอฟต์แวร์ในระดับที่ CPU ไม่สามารถทำได้ ทำให้ GPU ของ NVIDIA กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับ AI และ Machine Learning ปัจจุบันแทบทุกอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ AI ในการคำนวณและวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล ต่างต้องพึ่งพา GPU ของ NVIDIA ที่ขับเคลื่อนด้วย CUDA

นี่คือ ก้าวแรกที่ทำให้ NVIDIA ไม่ใช่แค่บริษัทการ์ดจออีกต่อไป แต่เป็นบริษัทที่ครองตลาด AI อย่างแท้จริง

GeForce RTX และ DLSS นวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกของเกม

GeForce RTX Series คือ การตอกย้ำตำแหน่งผู้นำในวงการเกมมิ่งกราฟิกของ NVIDIA: NVIDIA

แม้ว่า NVIDIA จะขยายอาณาจักรไปสู่ AI และ Cloud Computing แต่ก็ยังคงเป็นผู้ครองตลาดกราฟิกสำหรับเกมอย่างเหนียวแน่น ความสำเร็จของ NVIDIA ในวงการเกมก้าวไปอีกขั้นในปี 2018 เมื่อเปิดตัว GeForce RTX Series ซึ่งเป็นการ์ดจอที่มาพร้อมกับ Ray Tracing เทคโนโลยีที่สามารถจำลองแสงเงาและการสะท้อนของวัตถุในเกมให้สมจริงเหมือนกับภาพยนตร์

การที่ NVIDIA สามารถทำให้ Ray Tracing เป็นจริงได้ในระดับผู้บริโภค ถือเป็น การปฏิวัติวงการกราฟิกของเกมยุคใหม่ อย่างแท้จริง นอกจากนั้น DLSS (Deep Learning Super Sampling) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ AI ช่วยเร่งความเร็วของเกมโดยไม่ลดคุณภาพของกราฟิก ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ NVIDIA กลายเป็นเจ้าตลาดกราฟิกเกม

H100 และ A100 ขุมพลังที่อยู่เบื้องหลัง AI ระดับโลก

หากถามว่าอะไรคือเทคโนโลยีที่ทำให้ NVIDIA ก้าวขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามหาศาล คำตอบก็คือ AI และ Data Center การที่โลกเข้าสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว ทำให้ความต้องการชิปสำหรับ ฝึกและใช้งานโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่ พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน

NVIDIA H100: NVIDIA

NVIDIA ได้เปิดตัว A100 (เปิดตัวในปี 2020) และ H100 (เปิดตัวในปี 2022) ซึ่งเป็น GPU ที่ออกแบบมาสำหรับการประมวลผล AI โดยเฉพาะ ชิปเหล่านี้ถูกใช้โดยบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น OpenAI, Google, Microsoft และ Tesla เพื่อฝึกโมเดล AI ที่ซับซ้อนอย่าง ChatGPT, Gemini และ Generative AI ตัวอื่น ๆ

เพราะ 90% ของ Data Center ที่ใช้ AI ชั้นนำของโลกต้องพึ่งพา GPU ของ NVIDIA ทำให้รายได้ของบริษัทจากกลุ่ม Data Center เติบโตจนกลายเป็น แหล่งรายได้หลักของบริษัท คิดเป็นมากกว่า 87% ของรายได้รวม

DGX Cloud และ AI Supercomputing เปิดประตูสู่ยุคใหม่ของการประมวลผล AI

DGX Cloud คือ SuperComputer แบบที่เข้าถึงได้ผ่านคลาวด์ทำให้นักวิจัยไม่จำเป็นต้องซื้อ SuperComputer ราคาแพง: Forbes

ในปี 2023 NVIDIA ได้เปิดตัว DGX Cloud ซึ่งเป็นบริการที่ช่วยให้บริษัทและนักวิจัยสามารถเข้าถึง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ผ่านระบบคลาวด์ ได้โดยไม่ต้องซื้อฮาร์ดแวร์เอง

DGX Cloud ทำให้ NVIDIA ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตชิป แต่กลายเป็น ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI (AI Infrastructure Provider) ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดของโลก ณ ขณะนี้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ทำให้ NVIDIA กลายเป็น พันธมิตรหลักของบริษัทคลาวด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Google, AWS และ Oracle

Omniverse การเข้าสู่โลกของ Metaverse และ Digital Twin

NVIDIA ไม่ได้หยุดแค่ AI แต่ยังขยายตัวไปสู่ Metaverse และการจำลองโลกเสมือนจริง (Digital Twin) ผ่านแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า Omniverse

NVIDIA Omniverse คือโลกเสมือนที่ทำให้การทำงานในเชิงวิศวกรรมเชื่อมต่อกันให้ง่ายขึ้น: NVIDIA Blog

Omniverse ช่วยให้ วิศวกร, นักออกแบบ และนักพัฒนาเกม สามารถสร้าง โลกเสมือนจริงที่เชื่อมต่อกันแบบเรียลไทม์ โดยใช้พลังของ AI และ GPU นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง BMW และ Ericsson ก็ใช้ Omniverse ในการ จำลองโรงงานอัจฉริยะ และ พัฒนาเครือข่าย 5G

นี่เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ทำให้ NVIDIA ไม่ได้เป็นเพียงบริษัทฮาร์ดแวร์อีกต่อไป แต่กลายเป็น ผู้สร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่สำคัญของอนาคต

Quantum Computing เตรียมพร้อมสู่อนาคตแห่งการคำนวณ

cuQuantum ของ NVIDIA คือการเริ่มปูทางไปสู่ยุคใหม่แห่งเทคโนโลยี:  HPCWire

แม้ว่า Quantum Computing ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ NVIDIA ก็ได้เริ่มเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่ตลาดนี้ด้วย cuQuantum ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยจำลองการคำนวณควอนตัมโดยใช้ GPU หาก Quantum Computing กลายเป็นกระแสหลักในอนาคต NVIDIA ก็จะกลายเป็นหนึ่งในผู้นำของตลาดนี้อีกเช่นกัน

อะไรทำให้ NVIDIA เป็นผู้นำในตลาด GPU

  • ประสิทธิภาพฮาร์ดแวร์ที่ไม่มีใครเทียบได้

NVIDIA ขึ้นชื่อในด้าน GPU ประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับซีรีส์ GeForce RTX ซึ่งเป็นรุ่นเรือธง รุ่นล่าสุด เช่น RTX 4090 มีประสิทธิภาพเหนือกว่าผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งในการทดสอบประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นตัวเลือกที่ต้องการสำหรับทั้งเกมเมอร์และมืออาชีพ นวัตกรรมต่าง ๆ เช่น การติดตามรังสีแบบเรียลไทม์ได้กำหนดมาตรฐานใหม่ในด้านความเที่ยงตรงของภาพ ซึ่งช่วยยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมได้อย่างมาก GPU รุ่นใหม่ของ NVIDIA แต่ละรุ่นมีการปรับปรุงที่สำคัญในด้านความเร็ว ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และความสามารถในการประมวลผล ช่วยเสริมสร้างตำแหน่งผู้นำตลาด

  • ระบบนิเวศซอฟต์แวร์ที่แข็งแกร่ง

ข้อได้เปรียบที่สำคัญสำหรับ NVIDIA คือระบบนิเวศซอฟต์แวร์ที่ครอบคลุม โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม CUDA (Compute Unified Device Architecture) CUDA ช่วยให้นักพัฒนาสามารถใช้ประโยชน์จาก GPU ของ NVIDIA ได้อย่างเต็มที่สำหรับแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึง AI และการเรียนรู้ของเครื่อง การนำไปใช้อย่างแพร่หลายนี้ได้สร้างคลังเครื่องมือซอฟต์แวร์ที่ปรับให้เหมาะสมมากมาย ทำให้นักพัฒนาสามารถทำงานกับฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA ได้ง่ายขึ้น และมั่นใจได้ว่าแอปพลิเคชันต่าง ๆ จะได้รับการปรับแต่งให้ทำงานได้ดีที่สุดบน GPU ของตน

  • การสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากนักพัฒนาและอุตสาหกรรม

NVIDIA มีความสัมพันธ์อันดีกับนักพัฒนาเกมและพันธมิตรในอุตสาหกรรม ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับแอปพลิเคชันที่หลากหลาย NVIDIA จัดหาชุดพัฒนาและเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าเกมใหม่ ๆ ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงเทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและประสบการณ์ของผู้ใช้ ความร่วมมือนี้ขยายออกไปนอกขอบเขตของการเล่นเกมไปสู่ภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ยานยนต์และการดูแลสุขภาพ ซึ่งทำให้อิทธิพลของ NVIDIA ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

  • AI มาได้จังหวะพอดี

NVIDIA ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนเทคโนโลยี GPU ไปสู่แอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์ (AI) GPU ของบริษัทโดดเด่นในการจัดการงานคู่ขนานที่ซับซ้อนซึ่งจำเป็นสำหรับเวิร์กโหลดของ AI ทำให้งานเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานของ AI ทั่วโลก ผลิตภัณฑ์ของบริษัทครองตลาดชิป AI โดยมีส่วนแบ่งการตลาดระหว่าง 70% ถึง 95% สำหรับตัวเร่งความเร็ว AI การมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ในด้าน AI นี้ทำให้ NVIDIA กลายเป็นผู้เล่นหลักในภาคส่วน AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

  • เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีและให้กำเนิดนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

NVIDIA ได้สร้างความได้เปรียบของผู้บุกเบิกในตลาด GPU ในช่วงเริ่มต้น และได้ใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบของผู้บุกเบิกนี้เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง บริษัทได้นำ GPU มาใช้ใหม่สำหรับแอปพลิเคชัน AI และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ล้ำสมัยอย่างต่อเนื่องซึ่งกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพในอุตสาหกรรม ความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการสร้างสรรค์นวัตกรรมนี้ทำให้ NVIDIA ยังคงเป็นผู้นำในด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทั้งในด้านการประมวลผลกราฟิกและ AI

จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในปี 1993 NVIDIA เติบโตจากบริษัทสตาร์ตอัปที่มุ่งพัฒนา การ์ดจอสำหรับเกม สู่การเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ด้วยการพัฒนานวัตกรรมที่ปฏิวัติวงการ ไม่ว่าจะเป็น CUDA ที่ทำให้ GPU เป็นมากกว่าการ์ดจอ, RTX Series ที่เปลี่ยนโลกของเกม, AI GPU อย่าง H100 และ A100 ที่ขับเคลื่อนโมเดลปัญญาประดิษฐ์ระดับโลก รวมไปถึงการขยายตัวเข้าสู่ Cloud Computing, Metaverse และ Quantum Computing

ความสำเร็จของ NVIDIA ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย แต่เป็นผลมาจาก วิสัยทัศน์ที่กล้าแกร่งของ Jensen Huang ผู้ก่อตั้งและ CEO ของบริษัท ที่สามารถมองเห็นศักยภาพของ GPU ตั้งแต่ยุคที่มันเป็นเพียงอุปกรณ์เสริมสำหรับเกม จนกระทั่งกลายมาเป็นหัวใจของอุตสาหกรรม AI และ Data Center

ทุกวันนี้ NVIDIA ไม่เพียงแต่เป็น ผู้นำตลาดชิปกราฟิกสำหรับเกม แต่ยังเป็น ผู้ขับเคลื่อน AI ของโลก บริษัทมีมูลค่าตลาดสูงถึง 3.40 ล้านล้านดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ NVIDIA ยังคงมองไปข้างหน้า ด้วยการลงทุนใน AI Infrastructure, Digital Twin, Robotics และ Quantum Computing ซึ่งอาจเป็นก้าวถัดไปของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

ในอนาคต NVIDIA จะยังคงเติบโตไปได้ไกลแค่ไหน? โลกของ AI และเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร? คำตอบนั้นยังคงเปิดกว้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ NVIDIA ไม่ใช่แค่บริษัทผลิตชิปอีกต่อไป แต่เป็นผู้กำหนดอนาคตของโลกดิจิทัล


เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ


อ้างอิง

NVIDIA: History, Innovations and Future Prospects

https://www.fundinguniverse.com/company-histories/NVIDIA-corporation-history/

https://www.NVIDIA.com/en-us/about-NVIDIA/corporate-timeline/

https://www.britannica.com/money/NVIDIA-Corporation

https://www.thestreet.com/technology/NVIDIA-company-history-timeline

https://www.cio.com/article/646471/how-NVIDIA-became-a-trillion-dollar-company.html

https://finance.yahoo.com/news/history-NVIDIA-company-stock-110000012.html

https://blogs.nvidia.com/blog/what-is-cuda-2/

.

องค์กรสะท้านโลก EP.1 : NVIDIA บริษัทกราฟิกการ์ดเบอร์ 1 ของโลกทำธุรกิจอย่างไรให้มูลค่าโตล้านล้านดอลลาร์

องค์กรสะท้านโลก EP.2 : SoftBank ชื่อเหมือนแบงก์ แต่ไม่ใช่แบงก์ เริ่มจากทำนิตยสารคอมพิวเตอร์ แต่กลายเป็นเจ้าอาณาจักรเทคโนโลยี

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer