MGC-ASIA เปิดแผนงาน 2025 รับก้าวเข้าสู่ปีที่ 25 เร่งขับเคลื่อน 4 กลุ่มธุรกิจ Mobility Retail, Aftersales Service, Car Rental and Driver Services, Other Services ตั้งเป้ารายได้กลับมาเติบโต 10% ลุยขยายพอร์ตอีวีจีน พยุงกลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์

| รถยนต์หรูเร่งไม่ขึ้น ดิ่งหนักกว่าตลาดรวม
MGC-ASIA นำอีวีจีนพยุงพอร์ตทั้งกลุ่ม |
||
| ยอดการส่งมอบรถยนต์ในไทย 2024 | จำนวน / คัน | เปลี่ยนแปลงจากปี 2023 |
| กลุ่มรถยนต์นั่ง | 486,963 | -23% |
| กลุ่มรถยนต์หรู | 30,619 | -24% |
| กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า 100% | 70,595 | -7.6% |
| ที่มา: บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย / ก.พ. 2025 | ||
ดร. สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC-ASIA กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัท ปี 2024 มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการอยู่ที่ 20,192.5 ล้านบาท ลดลง 4,840.8 ล้านบาท หรือ 19.3% จากปี 2023 ที่ 25,033.3 ล้านบาท
ส่วนกําไรสุทธิ ปี 2024 ที่ 145.70 ล้านบาท ลดลง 122.6 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 268.2 ล้านบาท หรือลดลง 45.7% เนื่องจากผลกระทบของรายได้ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ ซึ่งได้รับเอฟเฟกต์ตามทิศทางของตลาดรวมที่เผชิญกับสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจากหนี้ครัวเรือนสูง แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าข้ามชาติที่เข้ามาสร้างกระแสการเปลี่ยนแปลงให้ตลาด และส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคา โดยปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ยังมีความท้าทายต่อเนื่องในปีนี้
ในปี 2025 ซึ่งเป็นการก้าวสู่ปีที่ 25 ของการดำเนินธุรกิจ บริษัทซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกยานยนต์ ในรูปแบบโฮลดิ้ง คอมพานี ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% จาก 4 แกนธุรกิจ ดังนี้ กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ (Mobility Retail), กลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขาย (Aftersales Service), กลุ่มธุรกิจให้บริการรถเช่าและพนักงานขับ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว (Car Rental and Driver Services), กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ (Other Services) หรือสำหรับธุรกิจบริการทางการเงินอย่างครบวงจร
ธุรกิจค้าปลีกยานยนต์
บริษัทยังวางตำแหน่งอยู่ในตลาดรถยนต์พรีเมียม ทั้งได้มีการเตรียมการด้านการเสริมพอร์ตรถยนต์ไฟฟ้ามาได้สักพักแล้ว โดยหากอ้างอิงจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ มีอัตราส่วนลดลงประมาณ 26% เทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่บริษัทรับมือกับสถานการณ์ได้น่าพอใจ โดยมีอัตราส่วนลดลงเพียง 10% เป็นผลมาจากรถยนต์ไฟฟ้าก็มีการเติบโตอย่างมีนัย ทั้งแบรนด์ XPENG และ ZEEKR ซึ่งมียอดส่งมอบรถมากกว่า 1,000 คัน จากปีก่อน
ขณะที่ภาพรวมการส่งมอบรถยนต์ใหม่และรถยนต์มือสอง ปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 9,000 คัน
นอกจากนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2024 บริษัทมีสินค้ารอส่งมอบ (Backlog) แบ่งเป็น XPENG จำนวน 767 คัน, ZEEKR จำนวน 230 คัน, Rolls-Royce จำนวน 8 คัน, BMW จำนวน 42 คัน, MINI Cooper จำนวน 78 คัน, HONDA จำนวน 337 คัน, Harley-Davidson จำนวน 50 คัน และ BMW Motorrad จำนวน 41 คัน
และในไตรมาส 1/2025 บริษัทยังเตรียมส่งมอบรถยนต์ XPENG X9 รถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ต พวงมาลัยขวาล็อตแรกของโลก อีกทั้งมีแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลากหลายแบรนด์ดังอย่างต่อเนื่อง
บริษัทคาดว่าสัดส่วนยอดขายรถไฟฟ้าปี 2025 จะอยู่ที่ 25-30% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด จากปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 10%
ธุรกิจให้บริการหลังการขาย
ในปีนี้ บริษัทเตรียมขยายสาขา MMS Car Service & Tire ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร (One-Stop Service) เพิ่มอีก 6 สาขา จากเดิม 22 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อขยายการให้บริการซ่อมสีและตัวถังยานยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) และเพิ่มบริการให้ครอบคลุมในหลากหลายพื้นที่เพื่อสร้างอัตราการกลับมาใช้บริการของลูกค้าให้สูงขึ้น
ธุรกิจให้บริการรถเช่าและพนักงานขับ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว
บริษัทวางแผนในการดำเนินธุรกิจให้ครอบคลุมการเดินทางให้ครบวงจรทุกมิติ และปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์การให้บริการตามการเติบโตของการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังเพิ่มสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มที่ให้บริการลูกค้าองค์กรมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจที่มุ่งเน้นพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ
ธุรกิจอื่น ๆ (Other Services) หรือสำหรับธุรกิจบริการทางการเงินอย่างครบวงจร
บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด ซึ่งบริษัท ร่วมทุนกับ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ในปีนี้ จะมุ่งเน้นการเติบโตจากการให้สินเชื่อ Wealth Lending ในอัตราที่เพิ่มขึ้น พร้อมปรับปรุงกระบวนการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และควบคุมผลขาดทุนด้านเครดิต โดยการนำเสนอการแก้ปัญหาในการชำระหนี้ที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า เพื่อสร้างผลกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ส่วนบริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการธุรกิจบริการประกันภัย ชั้นแนวหน้า บริษัทวางแผนกลยุทธ์ในปีนี้ ที่จะขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่หลากหลายกว่าเดิม เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการ
อย่างไรก็ตาม จากแผนกลยุทธ์และเป้าหมายการเติบโตดังกล่าว ก็สอดคล้องกับเป้าพันธกิจ 3 ปี (2025-2027) ของบริษัทที่จะนำพาสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน ผ่านธุรกิจใหม่ อย่าง AI- Powered Solutions รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร ผ่านการทำ ESG อย่างเป็นระบบ พร้อมความมุ่งมั่นในการต่อยอดความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าปัจจุบัน สร้างประสบการณ์พิเศษแบบเฉพาะตัว ผ่านการบริการที่โดดเด่นและเหนือระดับ นำไปสู่ความพึงพอใจสูงสุด สำหรับลูกค้าทุกราย ภายใต้วิสัยทัศน์ ที่ต้องการเป็นผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้แบบครบวงจร ภายใต้ระบบนิเวศทางธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
–
