Trends / หนึ่งในจุดขายที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเคล็ดลับความสำเร็จของ Netflix คือ ทำซีรีส์เนื้อเรื่องน่าติดตามและตรึงผู้ชมให้ดูต่อเนื่องไปจนจบ หรืออย่างน้อยก็ต่อแบบยาว ๆ จนแทบลืมเวลา ซึ่งต้นทางของซีรีส์เหล่านี้มากมายมาจากปัญหาสังคมหรือเรื่องในมุมมืดของประเทศต่าง ๆ

เช่น เรื่องความขัดแย้ง ทะเลาะวิวาท และชนชั้นในโรงเรียนของเกาหลีใต้ จากเรื่อง Weak Hero กลุ่มมิจฉาชีพลวงเอาเงินในวงการอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่น จากเรื่อง Tokyo Swindler และการทุจริตในวงการสงฆ์ของไทย จากเรื่อง สาธุ

อังกฤษมีซีรีส์ลักษณะนี้ออกมาเช่นกัน นั่นคือ Adolescence ที่ปล่อยสตรีมไปช่วงกลางมีนาคมที่ผ่านมา แม้ช่วงแรกถูกมองข้ามจนแทบจะกลืนหายไปในคลังคอนเทนต์ของ Netflix แต่กลายเป็นว่า เกิดกระแสชื่นชมอย่างกว้างขวาง ทั้งการนำปัญหาสังคม ครอบครัว และการเลี้ยงดูลูกยุคใหม่มาตีแผ่

รวมไปถึงเทคนิคการถ่ายทำ และฝีมือของบรรดานักแสดง จนสร้างชื่อให้อุตสาหกรรมคอนเทนต์อังกฤษ ถึงขนาดคาดกันว่านี่คือซีรีส์เต็งกวาดรางวัลทุกเวที

ล่าสุด Adolescence เป็นข่าวดังขึ้นมาอีกครั้ง โดยนายกรัฐมนตรี เคียร์ สตาร์มเมอร์ ของอังกฤษเอ่ยปากชมว่าเป็นซีรีส์สะท้อนปัญหาใหญ่ในประเทศยุคนี้ได้ดีมาก และไฟเขียวให้นำซีรีส์ไปฉายตามโรงเรียน เพื่อให้ทั้งครู นักเรียน ผู้ปกครอง ได้ดูร่วมกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาและเหตุการณ์สุดช็อกอย่างในเรื่องนี้เกิดขึ้นอีก

บรรทัดจากนี้คือสาเหตุว่าทำไม Adolescence ถึงเปลี่ยนจากคอนเทนต์ม้ามืดเมืองผู้ดี มาเป็นซีรีส์สร้างปรากฏการณ์ที่พ่อแม่ยุคนี้ควรดู

Adolescence เล่าถึงเหตุรุนแรงในเมืองแห่งหนึ่งของอังกฤษ ซึ่งมาพร้อมข้อมูลน่าตกใจมากมาย ไล่ตั้งแต่ ผู้ก่อเหตุคือ เด็กชายอายุเพียง 13 ปี ในครอบครัวชนชั้นกลางฐานะค่อนข้างดี ที่ดูไม่น่ามีพิษมีภัย ตามด้วยเหยื่อที่เป็นเด็กหญิงร่วมโรงเรียนวัยเดียวกัน ที่เสียชีวิตด้วยแผลจากของมีคมเต็มตัว

ไปจนถึงพ่อแม่และพี่สาวของเด็กชายที่ตกใจและไม่อยากเชื่อว่าสมาชิกอายุน้อยสุดในบ้านจะเป็นคนก่อเหตุ ทั้งที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่องและดีกว่าเพื่อน ๆ วัยเดียวกัน

Adolescence มีเพียง 4 ตอน ทว่าแต่ละตอนจะเล่าในประเด็นที่ต่างกันไป เริ่มจากตอนแรกที่บอกให้คนดูรู้ว่า ใครคือผู้ก่อเหตุ และการบุกจับแบบถึงห้อง ตอนต่อมาเล่าถึงสังคมของเด็กนักเรียนในโรงเรียนพร้อมเปิดเบาะแสของการก่อเหตุ

ต่อด้วยตอนที่ 3 ซึ่งผู้ก่อเหตุเปิดปากสารภาพ และปิดท้ายด้วยตอนที่ 4 ซึ่งผู้ชมจะได้เห็นผลกระทบที่ครอบครัวได้รับจากเหตุการณ์ในตอนแรก โดยทุกตอนดำเนินไปอย่างมีชั้นเชิงและเทคนิคน่าสนใจ

เพราะแทนที่จะเล่าแบบเกินจริง กระตุ้นความสนใจหรือขับเน้นอารมณ์ (Dramatize) อย่างซีรีส์ทั่วไป Adolescence กลับดำเนินไปแบบธรรมดาให้ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด

เช่น ฉากที่ผู้ก่อเหตุถูกจับก็มีการบอกถึงกระบวนการต่าง ๆ ในการจัดการของตำรวจเมื่อผู้ก่อเหตุ ซึ่งใส่ใจรายละเอียดถึงขั้นถามว่าถ้ายังไม่ได้กินมื้อเช้า เดี๋ยวจะจัดซีเรียลกับนมให้

หรือฉากที่ครอบครัวผู้ก่อเหตุขับรถไปซื้อของที่คุยเรื่องอื่น ๆ ที่ครอบครัวทั่วไปคุยกันก่อน แต่บรรยากาศในรถก็เปลี่ยนไปทันทีที่ผู้ก่อเหตุโทรเข้ามา

แต่ที่ได้รับคำชมมากสุดจากผู้ชม คนในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ส่วนใหญ่ และสื่อบันเทิง คือ การถ่ายทำแบบต่อเนื่องยาวรวดเดียวโดยไม่ตัดต่อ (Long Take) ในทั้ง 4 ตอน และการแสดงชั้นยอดของเจ้าของบทผู้ก่อเหตุ โดยเฉพาะตอนที่ 3 จนแทบไม่น่าเชื่อว่า เป็นการแสดงเรื่องแรก

อีกอย่างที่ทำให้ Adolescence ถูกกล่าวถึงอย่างมากทั้งในสื่อบันเทิง แพลตฟอร์มออนไลน์ และนักจิตวิทยาคือ ปัญหามากมายที่นำมาตีแผ่ ซึ่งประกอบไปด้วยผลเสียจากการเลี้ยงลูกแบบปล่อยปละละเลย หรือชะล่าใจว่าเข้าห้องแล้วลูกก็คงหลับไปเลย

ผลเสียและอิทธิพลของสื่อโซเชียลต่อเด็กที่เริ่มเป็นวัยรุ่น รวมไปถึงอิทธิพลทางลบของคอนเทนต์และบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ต่อเด็กที่เริ่มเป็นวัยรุ่น

สตีเฟ่น แกรแฮม นักแสดงนำและทีมผู้สร้าง เผยว่าได้ไอเดียทำ Adolescence มาจากปัญหาในสังคมอังกฤษ ณ ปัจจุบัน ที่ได้แก่ความเป็นชายเป็นพิษ เหตุรุนแรงจากทัศคติทางเพศที่ผิดเพี้ยนหรือสุดโต่ง

คดีสะเทือนขวัญหลาย ๆ ครั้งติดกันที่ผู้ก่อเหตุและเหยื่อเป็นเพียงเด็กวัยมัธยม เหตุรุนแรงในโรงเรียนที่มีต้นตอจากสื่อโซเชียล การที่เด็กยุคนี้ยึดเอาอินฟลูฯ เป็นต้นแบบ หลังพ่อหรือแม่ละเลยการเป็นต้นแบบที่ดีให้ลูก

โดยทั้งหมดสะท้อนออกมาในทุกตอน ที่ตัวละครผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ตำรวจ ครู และนักจิตวิทยา ถึงกับต้องมาทบทวนตนเองที่ปล่อยปละละเลยเกินไป จนเกิดเหตุสะเทือนขวัญเขย่าสังคมที่ทั้งผู้ก่อเหตุและผู้เสียชีวิตเป็นเด็กวัยมัธยมเท่านั้น/bbc, wikipedia, theguardian, japantoday 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer