ทำไมลดราคาแล้ว…ยอดขายไม่ได้เพิ่มเสมอไป?

คำตอบอาจเป็นเพราะ “การลดราคาคือกลยุทธ์ที่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง”
เพราะมันอาจไม่ใช่ทางออก แต่กลายเป็นทางตันของแบรนด์ในระยะยาว

บทนี้ของ การตลาด 101 จะอธิบายว่า “ทำไมการลดราคา ไม่ได้เพิ่มยอดขายเสมอไป” 

 

ลดแล้วจะขายดี จริงหรือ?

หนึ่งในกลยุทธ์ยอดฮิตของธุรกิจ เมื่อยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า คือ “ลดราคา”
เพราะคิดว่าลดแล้ว ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น ยอดขายก็จะเพิ่มขึ้นทันที

แต่ในความเป็นจริง การลดราคาสามารถสร้าง “พฤติกรรมใหม่” ที่กลับกลายเป็นดาบสองคม
และที่สำคัญที่สุดคือ มันอาจไม่เพิ่มยอดขายอย่างที่คิด

ลองดู 3 ตัวอย่างจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริงในตลาด

  1. ตลาดรถ EV: ลดหนักจนลูกค้ารอดูว่าจะลดอีกไหม

ช่วงปีที่ผ่านมา ค่ายรถ EV หลายเจ้าแข่งขันกันด้วย “ราคา”
บางรุ่นเพิ่งเปิดตัวได้ไม่กี่เดือนก็ลดราคาแรงหลายแสนบาท

ผลลัพธ์คือ?

คนที่เพิ่งซื้อไปก่อนหน้ารู้สึกเสียเปรียบ
คนที่กำลังจะซื้อก็เริ่ม “ชะลอ” การตัดสินใจ
เพราะคิดว่าอีกไม่นาน อาจจะมีลดอีกรอบ

นั่นแปลว่า การลดราคา ไม่ได้เร่งการตัดสินใจของลูกค้าเสมอไป
แต่อาจทำให้เกิดพฤติกรรม “รอส่วนลด” กลายเป็น Deadlock ของตลาด

  1. คอนโดลดราคา: ลูกบ้านเก่าเสียความรู้สึก

ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ การลดราคาแบบฉับพลัน ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข
แต่เป็นเรื่อง “ความรู้สึก” และ “ความเชื่อมั่น”

หลายโครงการเปิดขายด้วยราคาหนึ่ง
จากนั้นไม่กี่เดือน ลดราคาแบบหนักมากเพื่อปิดโครงการ

คนที่ซื้อก่อนหน้า กลายเป็นถือของแพงกว่าตลาดทันที
ความรู้สึกคือ “โดนหักหลัง” แม้จะไม่ได้ผิดสัญญาใด ๆ

แถมราคาขายต่อในตลาดก็ลดลงตามไปด้วย
กลายเป็นผลกระทบต่อแบรนด์ในระยะยาว ทั้งในด้านความน่าเชื่อถือและการแนะนำต่อ

  1. ร้านเสื้อผ้า: เมื่อลูกค้ารอแต่ลด 50% ถึงจะซื้อ

หลายแบรนด์แฟชั่นเจอกับกับดักนี้โดยไม่รู้ตัว

เริ่มจากการลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขายระยะสั้น
กลายเป็นว่า ลูกค้าจำว่า “เสื้อผ้าแบรนด์นี้ ถ้าไม่ลดก็ไม่คุ้ม”
จนเลิกซื้อราคาเต็มไปเลย

ปัญหาคือ เมื่อลดบ่อยๆ ลูกค้าจะ “รอช่วงลด” เท่านั้น
ส่งผลให้ยอดขายปกติหายไป และแบรนด์ติดกับดักโปรโมชั่นตลอดเวลา

นี่คือตัวอย่างของ “พฤติกรรมที่แบรนด์สร้างขึ้นเอง” โดยไม่ตั้งใจ

 

การลดราคา มีต้นทุนที่มองไม่เห็น

เช่น

  • ต้นทุนด้านภาพลักษณ์ของแบรนด์
  • ต้นทุนความไว้วางใจจากลูกค้าเก่า
  • ต้นทุนของการต้องขายเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีกำไรเท่าเดิม
  • ต้นทุนในอนาคตเมื่ออยากจะ “เลิกลด” แล้วกลับไปขายราคาปกติ

สิ่งเหล่านี้อาจไม่เห็นผลในทันที แต่จะกัดกินแบรนด์ทีละนิด ทีละน้อย ในระยะยาว

 

แล้วควรทำอย่างไร ถ้าไม่อยากลดราคา?

ถ้าการลดราคาไม่ใช่ทางออก แล้วทางเลือกอื่นมีอะไรบ้าง:

  1. เพิ่มมูลค่าแทนการลดราคา
    เช่น แถมบริการเสริม การันตีสินค้า ขยายประกัน ฯลฯ
    ลูกค้ารู้สึก “คุ้มค่า” โดยที่ไม่ต้องลดราคา
  2. สร้างจุดเด่นที่ไม่เกี่ยวกับราคา
    เช่น ดีไซน์เฉพาะทาง บริการหลังการขาย คุณภาพวัตถุดิบ ฯลฯ
    ลูกค้ายอมจ่ายมากขึ้น ถ้าได้รับ “มากกว่าแค่สินค้า”
  3. แบ่งกลุ่มเป้าหมาย และทำแคมเปญเฉพาะกลุ่ม
    ไม่จำเป็นต้องลดราคาให้ทุกคน
    เช่น ลดเฉพาะสมาชิก, ลูกค้าเก่า, หรือแคมเปญจับคู่กับแบรนด์อื่น
  4. เล่าเรื่องให้ชัดว่าทำไมสินค้าชิ้นนี้ถึง “คุ้มในราคาเต็ม”
    แบรนด์ที่ขายได้แม้ไม่ลดราคา คือแบรนด์ที่เล่าเรื่องได้ดี
    ไม่ใช่แค่ “ขายสินค้า” แต่ขาย “เหตุผลที่ต้องเลือกสิ่งนี้”

สรุป: การลดราคา คือเครื่องมือ ไม่ใช่ทางรอด

การลดราคามีที่มาและมีเหตุผลที่ใช้ได้
แต่มันไม่ใช่คำตอบของทุกปัญหา และไม่ใช่สิ่งที่ใช้ได้ตลอดไป

เพราะเมื่อแบรนด์ใช้บ่อยเกินไป
ลูกค้าอาจไม่รู้สึกว่ากำลังได้ดีล แต่กำลังซื้อของที่ “มูลค่าจริงลดลง”

บางครั้ง…ไม่ลดราคา แต่เพิ่มคุณค่า อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มกว่า


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer