ธิดา แก้วบุตตา ผู้หญิงที่ใจดี แต่หลักการต้องเป๊ะ เมื่อปล่อยได้ ต้องตามเก็บให้ได้ (สัมภาษณ์)
Marketeer มีโอกาสพบกับคุณฉัตรชัย แก้วบุตตา ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารของบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD โดยบังเอิญที่บริเวณหน้าตึกสำนักงานใหญ่บนถนนแจ้งวัฒนะ
ท่านบอกว่าเมื่อ 40 ปีก่อนธุรกิจประเภทนี้ทำง่ายกว่านี้เยอะมาก พอมาถึงสมัยนี้ยากจริง ๆ
คำพูดสั้น ๆ แต่สะท้อนให้เห็นเส้นทางของธุรกิจให้บริการสินเชื่อรายย่อย ในอดีตที่ธนาคารพาณิชย์ให้บริการสินเชื่อได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของผู้ต้องการสินเชื่อทั้งหมด แต่เปลี่ยนไปอย่างมากในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา

ตาม Marketeer ไปพูดคุยกันยาว ๆ กับ ธิดา แก้วบุตตา (หรือคุณไนล์) ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กรบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ลูกสาวคนเล็กของคุณฉัตรชัย และผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งของศรีสวัสดิ์ ผู้เป็นพลังขับเคลื่อนองค์กรสำคัญคนหนึ่งในช่วงเวลาที่ท้าทายของธุรกิจครอบครัว ร่วมกับดวงใจ แก้วบุตตา พี่สาว ผู้นั่งในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่
ผู้หญิงที่ออกไปยึดรถให้บริษัทเป็นคนแรก ๆ
ครอบครัวแก้วบุตตาเริ่มทำธุรกิจขายเงินผ่อนและให้เช่าซื้อรถแทรกเตอร์แก่เกษตรกร ก่อนจะผันตัวมาเป็นตัวแทนจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ และเมื่อพบว่าลูกค้ากลุ่มนี้มักประสบปัญหาในการขอสินเชื่อจากธนาคาร เพราะรายได้น้อยและไม่แน่นอน
หลายคนจึงต้องพึ่งเงินกู้นอกระบบที่มีเงื่อนไขไม่เป็นธรรม แต่สิ่งที่รถแทรกเตอร์และมอเตอร์ไซค์มีเหมือนกันคือ “เล่มทะเบียน” ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักประกันได้
ไอเดียธุรกิจใหม่จึงเริ่มต้นขึ้นด้วยการเข้าสู่ธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถในจังหวัดเพชรบูรณ์ ตั้งแต่ปี 2522
“ไนล์นี่ล่ะค่ะที่เวลาช่วงปิดเทอมก็ตามคุณพ่อออกไปยึดรถเป็นคนแรก ๆ ขับรถเป็นเร็วตั้งแต่วัยรุ่น เพราะต้องช่วยคุณพ่อขับรถที่ยึดกลับบริษัท
ธิดาถูกส่งมาเรียนประจำที่โรงเรียนวัฒนา กรุงเทพฯ เรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ทำงานตรวจสอบบัญชีที่ Deloitte Touche Tohmatsu Jaiyos ทำอยู่ 3 ปี แล้วไปเรียนต่อ MBA ที่ Waseda University ประเทศญี่ปุ่น จากนั้นก็มาทำงานด้านการลงทุนที่ธนาคารกรุงไทย อีก 3 ปี
หลังจากนั้นก็มาเริ่มทำงานในศรีสวัสดิ์ เป็นเจน 2 ที่มีเป้าหมายชีวิตชัดเจนว่าวันหนึ่งจะกลับมาทำงานที่บ้าน
เธอและพี่สาวได้ช่วยคุณพ่อสร้างบริษัท และเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2557 จนถึงวันนี้มีประมาณ 6,000 สาขา มีพนักงานทั้งหมดประมาณ 1 หมื่นกว่าคน
ปี 2567 กลุ่มศรีสวัสดิ์ ภายใต้เครื่องหมายบริการ ศรีสวัสดิ์ เงินสดทันใจ มีกำไรรวมสุทธิ 5,246 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้ดอกเบี้ยราว 18,027 ล้านบาท และรายได้อื่นราว 3,018 ล้านบาท รวมรายได้อยู่ที่ 21,046 ล้านบาท

Key success สำคัญ
พนักงานหน้าบ้านต้องสื่อสารด้วยภาษาเดียวกับลูกค้า เข้าใจความต้องการและความจำเป็นของพวกเขา ขณะเดียวกันพนักงานหลังบ้านต้องยึดมั่นในกฎระเบียบและเข้าใจความเสี่ยง พร้อมนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันอย่างสมดุล
“ทำงานแบบนี้ต้องทำใจรับความเสี่ยงตลอดเวลา อะไรถึงคุมความเสี่ยงอยู่ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ปล่อย ประเด็นมันอยู่ที่เก็บ ใคร ๆ ก็ปล่อยได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เก็บได้ ถ้าถาม Key success ของศรีสวัสดิ์ คือเราปล่อยได้ และตามเก็บได้”
ที่ผ่านมาแนวทางของศรีสวัสดิ์ คือ “เป็นนักสู้บ้าน ๆ พูดตรง อดทน ยืดหยุ่น ไม่กลัวงานหนัก”
ทำให้ศรีสวัสดิ์มีจุดเด่นในการสื่อสารและบริการลูกค้าในต่างจังหวัด
พอร์ตของรายได้หลักคือการให้สินเชื่อแบบมีหลักประกัน จำนำทะเบียนรถเป็นหลัก สูงสุดมาจากตะวันออกเฉียงเหนือที่มีจำนวนสาขาถึง 1,681 สาขา และภาคใต้ 1,138 สาขา ในขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมี 707 สาขา (ตัวเลข ณ 31 ธ.ค. 2567)
ในปี 2568 นี้ จะให้ความสำคัญกับธุรกิจประกันออนไลน์ ที่ได้รับใบอนุญาตขายประกันออนไลน์จาก คปภ. ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 มากขึ้น

อุปสรรค ความท้าทาย
ในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจปล่อยสินเชื่อรายย่อยเติบโตอย่างรวดเร็ว มีผู้เล่นทั้งรายเล็กและรายใหญ่ รวมถึงสถาบันการเงินต่าง ๆ เข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมาก แต่หลายรายก็ต้องเจอกับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 และปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ขณะที่กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นก็ทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันจึงเหลือเพียงผู้เล่นรายใหญ่ไม่กี่รายเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ได้
“เราไม่ได้มองว่าตอนนี้เป็นช่วงการแข่งขันที่ดุเดือด เพราะรายที่ยังอยู่ ต่างก็มีจุดแข็งและกลุ่มลูกค้าเฉพาะของตัวเอง บางรายเชี่ยวชาญสินเชื่อมอเตอร์ไซค์ ขณะที่บางรายถนัดด้านรถสิบล้อ เป็นต้น”
สำหรับการบุกไปตลาดต่างประเทศ ศรีสวัสดิ์จะเดินเกมอย่างระมัดระวัง ไม่เน้นการเติบโตเชิงรุก จะกลับมาโฟกัสตรงหัวใจของเรา คือการให้สินเชื่อแบบมีหลักประกันในประเทศ
อุปสรรคสำคัญของการไปต่างประเทศอยู่ที่เรื่องภาษาและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายนัก

ตอนนี้ศรีสวัสดิ์ยังบุกหนัก แต่ก็ต้องระวังมากขึ้น เพราะภาพรวมเศรษฐกิจ (แมคโคร) ยังเปราะบาง ถ้าเปรียบเป็นรถ ก็คือทุกคนเคยเหยียบเกียร์ 5 แต่ตอนนี้ต้องผ่อนลงมาเหลือเกียร์ 3 กันหมด เพื่อความปลอดภัย แต่ถ้าเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้น ทุกคนก็พร้อมจะเร่งเครื่องอีกครั้ง กลับไปเกียร์ 5 เหมือนเดิมแน่นอน
สุดท้าย ธิดา แก้วบุตตา เล่าว่า คำสอนจากคุณพ่อที่ยังฝังใจเสมอคือ
“หากรู้ว่าลูกค้าอาจจะไม่มีปัญญาจ่าย อย่าปล่อยเขาไปง่าย ๆ เพราะหน้าที่ของเราไม่ใช่แค่ปล่อยเงิน แต่อาจเป็นโอกาสหรือความช่วยเหลือเพิ่มเติม
เวลาฟังปัญหาลูกค้า ฟังให้ลึก คิดให้รอบด้าน อย่าเชื่อทุกคำที่ได้ยิน แต่ก็อย่าปิดใจ ประสบการณ์จะค่อย ๆ สอนเราว่า เมื่อไรควรเชื่อ เมื่อไรควรฟัง และเมื่อไรควรยื่นมือเข้าไปช่วย”
ในวันที่โลกเปลี่ยนเร็ว และเทคโนโลยีเข้ามาท้าทายศรัทธาเก่า ๆ ธิดา จะช่วยครอบครัวพาธุรกิจนี้ไปข้างหน้าอย่างไร โดยยังไม่หลุดจากหัวใจของแบรนด์ที่ชื่อว่า ‘ศรีสวัสดิ์’ ♦
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
