Trends / จากที่เคยแค่ลืมตาตั้งสติแล้วลุกขึ้น หรือกดนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ก่อน แล้วลุกขึ้นก็เปลี่ยนไปเป็นกดปิดตั้งปลุกที่สมาร์ตโฟนแล้วเลื่อนดูความเคลื่อนไหวในสื่อโซเชียลผ่านอุปกรณ์สื่อสารดังกล่าวอีกพักใหญ่ก่อนจะลุกจากเตียง

นี่คือพฤติกรรมที่คนเกือบทั้งโลกทำมานานตลอดราว 10 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางข้อมูลว่า ตลอดทั้งวันที่เหลือเราเช็กสื่อโซเชียลกันทุก ๆ 10 นาทีไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และแม้ 64% ของประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลกจะเกลียดที่เป็นอย่างนี้ แต่ก็ยอมรับว่ายากที่จะหยุดพฤติกรรรมนี้ เพราะยังจำเป็นต้องพึ่งพาสื่อโซเชียลและสมาร์ตโฟนนั่นเอง

พฤติกรรมดังกล่าวยิ่งเป็นการย้ำว่า คนยุคนี้เป็น FOSO ที่ย่อมาจาก Fear Of Switching Off เพราะกลัวว่าอุปกรณ์สื่อสารที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตขนาดต่าง ๆ ที่พกมาด้วย ตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึงคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเกิดขัดข้องหรือถูกตัดขาด ไม่ต่างจากการโดนกดปุ่มปิด

จากข้อมูลที่กล่าวมา สะท้อนว่าเราพึ่งพาการเชื่อมต่อโลกออนไลน์หรือเทคโนโลยีมากไป จนรู้สึกว่าท่วมท้น (Tech Overload) และแค่การใช้โหมดปิดกั้นหรือจำกัดการเชื่อมต่อเพื่อให้อยู่อย่างสงบแบบพระที่เรียกกันว่า Monk Mode คงไม่พอ

เมื่อเป็นเช่นนี้คนกลุ่มใหญ่จึงเห็นว่า Offline Travel หรือการไปเที่ยวพักผ่อนแบบตัดขาดการเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ไปเลย เป็นเรื่องที่ควรทำ ด้านธุรกิจท่องเที่ยวและกิจการโรงแรมก็มีการสำรวจข้อมูลเรื่องนี้

ผลการสำรวจจากเครือโรงแรม Hilton ระบุว่า 27% ของลูกค้าวัยผู้ใหญ่วางแผนที่จะลดการใช้สื่อโซเชียลระหว่างไปเที่ยวพักผ่อนช่วงหยุด ขณะที่ข้อมูลจาก Plum Guide แพลตฟอร์มจองบ้านพักแบบหรูระบุว่า 17% ของผู้ใช้ทั่วโลกหาบ้านพักแบบไร้สัญญาณ Wi-Fi

ส่วนข้อมูลจากเว็บไซต์ในกิจการท่องเที่ยวแถบสหราชอาณาจักรระบุว่า จากที่เห็นว่า สัญญาณ Wi-Fi เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานของโรงแรมที่ต้องการ ปัจจุบันโรงแรมแบบไร้สัญญาณ Wi-Fi เลยเพราะอยากพักผ่อนอย่างสงบไม่มีการแจ้งเตือนผ่านอุปกรณ์สื่อสารใด ๆ มารบกวน เป็นที่ต้องการมากขึ้น

สิ่งที่สะท้อนว่าคนยุคนี้ต้องการเปิดโหมดพักเว้นวรรคจากการเชื่อมต่อโลกอย่างจริงจังยังปรากฏให้เห็นในซีรีส์ดังอย่าง The White Lotus อีกด้วย

ตามรายงานของสื่ออังกฤษระบุว่า ในอนาคตอันใกล้เทรนด์ Offline Travel ยังคงโตต่อเนื่อง ยืนยันได้จาก โรงแรมขนาดเล็กและกลางที่ไร้สัญญาณ Wi-Fi พร้อมคอร์สบำบัดอาการเสพติดเทคโนโลยี หรือมีแค่เพียงห้อง สิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน แต่ไร้โทรทัศน์กับสัญญาณ Wi-Fi ในประเทศแถบยุโรปที่เพิ่มขึ้น  

ด้านอดีตพนักงานของ Facebook รายหนึ่งเผยว่า แม้เมื่อตอนยังทำงานอยู่ บริษัทจะมีวันหยุดแบบไม่จำกัดให้ เพื่อเปิดโอกาสให้ได้หยุดพักผ่อน แต่เอาเข้าจริงก็ตัดขาดจากงานที่เชื่อมต่อผ่านทางสมาร์ตโฟนและคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กไม่ได้อยู่ดี ทำให้ตนลองตัดขาดจากอุปกรณ์ทั้งสองนี้ช่วงวันหยุดอย่างจริงจัง

เมื่อรับรู้ได้ว่าดีกับสุขภาพกายและใจ จึงตัดสินใจลาออกจาก Facebook เพื่อเปิดโรงแรมตามเทรนด์ Offline Travel ในไอร์แลนด์ โดยปรากฏว่ากิจการไปได้สวย จนต้องขยายห้องพักเพิ่ม

สื่ออังกฤษรายงานต่อโดยอิงข้อมูลของแพลตฟอร์มจองที่พักในกลุ่มประเทศสหราชอาณาจักรว่า ระยะเวลาการเที่ยวพักผ่อนแบบ Offline Travel ที่ได้ผลคือ 3 วัน โดยวันแรกแขกที่มาเข้าพักจะกระวนกระวายและกังวลกับการถูกตัดขาดหรือใช้สมาร์ตโฟนไม่ได้

แต่วันที่ 2 ก็จะปรับตัวได้ และนับจากวันที่ 3 เป็นต้นไป ก็จะพักผ่อนได้อย่างเต็มที่โดยไม่กังวลกับสมาร์ตโฟนอีกต่อไป ขณะเดียวกันก็จะสังเกตได้เลยว่า แขกที่มาเข้าพักส่วนใหญ่มีหน้าตาสดใส และดูอ่อนกว่าวัยเมื่อเช็กเอาต์

ส่วนหากมาเป็นคู่ความสัมพันธ์ก็จะแน่นแฟ้นกว่าเดิม เพราะได้คุยและใช้เวลาพักผ่อนร่วมกันโดยที่ไม่มีสมาร์ตโฟนมาคั่นกลางนั่นเอง/bbc    


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer