EVEANDBOY เน้นจับแบรนด์ในกระแสมาขาย แข่งด้วยความไว ตั้งเป้า 10,000 ล้าน ภายใน 2570
แม้หลายธุรกิจแสดงความกังวลต่อเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่กับธุรกิจความงามปีนี้นับเป็นปีที่สวยของตลาดความงามไทยอีกปี สะท้อนจากผลประกอบการของแบรนด์จำนวนมากที่เติบโตทะลุระดับพันล้านบาท
ตลาดความงามไทยมีมูลค่า 2.81 แสนล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าราว 10.4% ได้รับปัจจัยบวกจากช่องทางการขายผ่านอีคอมเมิร์ซที่ยังโตแรง รวมถึงความนิยมของเครื่องสำอางแบรนด์ไทยโดยเฉพาะกลุ่มสินค้า SMEs ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ตลาดมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
คุณหิรัญ ตันมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟแอนด์บอย จำกัด กล่าวว่า ปีนี้เป็นอีกปีที่ดีของธุรกิจความงาม มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก Sizing of Thai Market ที่ยังถือว่าน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ อยู่มาก เมื่อเทียบกับประเทศใหญ่อย่างเกาหลี ญี่ปุ่น ตลาดเรายังเล็กกว่า 4 เท่า ดังนั้น จึงยังมีโอกาสให้เติบโตไปได้อีกมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของ T-Beauty หลายแบรนด์ไทยยอดขายทะลุพันล้านบาท เติบโตกันอย่างมหาศาล ซึ่งเห็นแนวโน้มที่เป็นบวกมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ความนิยมของบิวตี้ไทยแบรนด์เริ่มมาตั้งแต่นั้น
ด้านภาพรวมธุรกิจ EVEANDBOY ก็สอดคล้องไปกับภาพรวมตลาด แต่เป็นการเติบโตที่มากกว่าตลาดซึ่งอยู่ที่ 40% ปี 2567 ที่ผ่านมายอดขายแตะระดับ 7,000 ล้านบาท เกินจากเป้าที่ตั้งไว้ คิดเป็นอัตราการเติบโต 40% โดยกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนเติบโตมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มเครื่องสำอาง (MAKEUP) 45% ตามด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (SKINCARE) 40% กลุ่มน้ำหอม (FRAGRANCE) 35% และกลุ่มอื่น ๆ ก็ยังมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เป็นผลมาจากความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่ยังคงสูง รวมถึงการทำการตลาดบนช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ของแบรนด์ ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น
โดยที่กลุ่มลูกค้าหลักของEVEANDBOYยังคงเป็นนักเรียน นักศึกษา และพนักงานออฟฟิศ ที่มีอัตราการเติบโตสูง รวมถึงยังเป็นกลุ่มที่มีอัตราการซื้อซ้ำ และเป็นกลุ่มที่มี Loyalty เหนียวแน่น เข้ามาช้อปปิ้งในร้านสม่ำเสมอ
5 ปัจจัยที่ทำให้ EVEANDBOY เติบโต เป็นบิวตี้สโตร์เบอร์ต้นของไทย
1. ครอบคลุม หลากหลาย เป็นรีเทลที่มีขนาดร้านใหญ่กว่าคู่แข่ง โดยสโตร์ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ประมาณ 2,000 ตารางเมตร ราคาตอบโจทย์ทุก Price Point เริ่มตั้งแต่ชีทมาสก์ 9 บาท ไปจนถึงครีมกระปุกละหมื่นบาท
2. ราคาที่ไม่ต้องเสียเวลาเปรียบเทียบ มั่นใจได้ว่าภายในร้านจะนำเสนอราคาดีที่สุดแก่ลูกค้า โดยไม่ต้องเสียเวลาเปรียบเทียบโปรโมชั่นกับคู่แข่ง
3. Exclusive Brand การนำเข้าผลิตภัณฑ์ ‘Exclusive Brand’ ที่กำลังเป็นกระแสบนโซเชียลมีเดีย เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียว ที่นำเข้ามาวางจำหน่าย อาทิ International Brand อย่าง ‘Kylie Cosmetics’ ที่ทุกคนตั้งตารอคอย และได้ต่อสัญญาในฐานะ Exclusive Brand ต่อเนื่องเรียบร้อย นอกจากนี้ ยังมี International Brand อาทิ Lilybyred เมคอัพที่กำลังได้รับความนิยมมากที่สุดในอเมริกาตอนนี้, Tirtir คุชชั่นแดงกำลังนิยมมากในสหรัฐฯ, Cancer Council ครีมกันแดดดังของออสเตรเลียที่เพิ่งลอนช์ไป ตลอดจนคอลเลกชันน้ำหอมอาดิดาสที่หยิบมารีลอนช์ใหม่ในร้าน
ส่วนที่เป็น Exclusive Product แม้แบรนด์จะมีจำหน่ายทั่วไป แต่สินค้าที่คอลแลบส์กับ EVEANDBOY จะมีขายที่ร้านเท่านั้น เช่น แปรงสีฟัน Karmarts, มาสก์หน้าไฮโดรเจล Rojukiss, ลิปสติก Sasi, 4U2 คอลเลกชัน Bus บางสีมีขายเฉพาะที่ EVEANDBOY เป็นต้น
4. More Service ตอกย้ำการเป็นร้านบิวตี้แบบครบวงจร ภายในร้านยังมีเซอร์วิสกันคิ้วฟรี หรือสอนแต่งหน้าสำหรับลูกค้าอีกด้วย
5. ความน่าเชื่อถือ ช่วงที่ผ่านมาข่าวการทลายโกดังสินค้าปลอมมีมาอย่างต่อเนื่อง สร้างความกังวลใจแก่ผู้บริโภค แต่เมื่อเดินเข้าไปใน EVEANDBOY มั่นใจได้ว่าจะได้สินค้าแบรนด์แท้ เพราะร้านเป็น Official Partner กับทุกแบรนด์
โดยในปีนี้ยังเตรียมเปิด categories ใหม่ ๆ อย่างในกลุ่มสกินแคร์ โทนเนอร์แพดก็เป็นหมวดหมู่ใหม่ที่มีการเติบโตสูงมาก ทั้งยังจะขยายไปกลุ่ม accessories แผ่นปิดหน้าอก เป็นต้น
ซึ่งเทรนด์ของลูกค้าคนรุ่นใหม่ปัจจุบัน ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าชิ้นหนึ่งต้องเจาะลึกไปถึงส่วนผสมว่ามีสารอะไรบ้าง เพราะมีความรู้มากขึ้น แบรนด์ที่ไม่เปิดเผยเรื่องส่วนผสมอาจจะไม่ตอบโจทย์ในยุคนี้
กลยุทธ์รุกตลาด 2025
เริ่มที่การขยายพอร์ต Exclusive Brand และ Exclusive Product จับแบรนด์ในกระแสมา หรือสร้างความพิเศษด้วยการจับมือกับแบรนด์ต่าง ๆ จำหน่ายสินค้าบางอย่างเฉพาะที่ร้าน เพื่อทำให้EVEANDBOYเป็นจุดหมายปลายทางของลูกค้าเมื่อนึกถึงสินค้าในกระแส
ทั้งนี้ เตรียมขยายสาขาไปในจังหวัดใหม่ ๆ ที่บริษัทยังไม่เคยไป วางแผนเปิดเพิ่ม 25 สาขาในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่เปิดไป 18 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด งบลงทุน 600 ล้านบาท ทั้งยังมีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดกับสาขาเดิมเพื่อรองรับการเติบโตในปีนี้เช่นเดียวกัน
ไตรมาสนี้จะเปิดสาขาใหม่ที่จังหวัดอุบลราชธานี และในไตรมาสสามจะเปิดแฟลกชิปสโตร์ไซซ์ร้าน 800 ตารางเมตรให้ใหม่
คาดว่า สิ้นปี 2568 จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 65 สาขา และภายในปี 2571 จะมี EVEANDBOY ทั้งหมด 140 สาขา สำหรับโลเคชันที่เลือกเปิดต้องมีศักยภาพ เป็น Strategic Location รวมถึงยังเน้นเจาะกลุ่มไปที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ EmSphere, Platinum, Terminal 21 Asok, Siam Premium Outlet
โดยปัจจุบันEVEANDBOYมีทั้งหมด 45 สาขา แบ่งสัดส่วนออกเป็นพื้นที่ในกรุงเทพฯ 26 สาขา และต่างจังหวัด 19 สาขา
ขณะที่ช่องทางออนไลน์ จะมีการรีลอนช์แอปพลิเคชันใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ประสบการณ์ช้อปออนไลน์ของลูกค้าดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี สัดส่วนออนไลน์ยังคงอยู่ที่เพียง 10% เพราะบริษัทยังคงโฟกัสที่ช่องทางออฟไลน์เป็นหลัก
เพราะการจะซื้อสินค้าเสริมความงาม ลูกค้าจะต้องมาลองสินค้าด้วยตัวเอง เพราะสินค้าความงามมีรายละเอียดซับซ้อน เนื้อสัมผัส โทนสี สภาพผิว ว่าเหมาะสมกับผิวหรือไม่ อย่างในน้ำหอม แม้จะกลิ่นเดียวกัน แต่ฉีดคนละคนกลิ่นจะต่างกัน ยังมีข้อจำกัดอยู่มากสำหรับช่องทางออนไลน์
กลุ่มลูกค้ายังคงเป็นชาวไทยเป็นหลักกว่า 90% ต่างชาติ 10% ส่วนใหญ่จะเป็นสาขาที่มีนักท่องเที่ยวสูง ด้านแผนการขยายไปตลาดต่างประเทศยังคงยืนยันตามแผนเดิม ว่าจะขยายไปประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนเช่นเดิม
Loyalty Program
รูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ ‘Ebbie Card’ (เอบบี การ์ด) ซึ่งจะช่วยให้ EVEANDBOY รักษาฐานลูกค้าเก่าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เกิดความคุ้มค่าในการซื้อสินค้าตลอดอายุสมาชิก
โดย Ebbie Card มีสิทธิพิเศษมากมาย อาทิ ส่วนลดพิเศษ, ดีลพิเศษเฉพาะสมาชิก, Gift Set สำหรับเดือนเกิด, สิทธิ์ในการซื้อสินค้าออกใหม่ก่อนลูกค้าทั่วไป, สิทธิ์เข้าร่วมในกิจกรรมหรืออีเวนต์ Exclusive เป็นต้น ปัจจุบันมีฐานสมาชิก 2.7 ล้านคน ตั้งเป้าเพิ่ม 40% ในปีนี้
ด้วยแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มขึ้นทุกปี นำมาสู่งานประกาศรางวัล ‘EVEANDBOY BEST SELLING AWARDS 2024’ งานประกาศรางวัลผลิตภัณฑ์ความงามที่สร้างปรากฏการณ์ยอดขายสูงสุดแห่งปีของเมืองไทย
ปีนี้มาในคอนเซ็ปต์ ‘THE TIMELESS ELEGRANCE’ จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 แล้ว พร้อมกับจำนวนผู้ได้รับรางวัลมากถึง 145 รางวัล แบ่งออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่ น้ำหอม (FRAGRANCE), เครื่องสำอาง (MAKEUP), ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (SKINCARE), ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย (PERSONAL CARE & BODY), ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและอุปกรณ์ (HAIR & ACCESSORIES) และผลิตภัณฑ์อาหารเสริม (SUPPLEMENT) ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัลสินค้าขายดี ยังจะโปรโมชันพิเศษให้เลือกช้อปกันแบบจุใจตลอดระยะเวลากิจกรรม
เพราะความสวย รอไม่ได้
ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร คนให้ความสำคัญกับความสวยความงามเสมอ เพราะการดูแลตัวเอง ใส่ใจภาพลักษณ์คือสิ่งที่จำเป็นในสังคม ต่อให้เศรษฐกิจแย่คนก็ไม่เคยรัดเข็มขัดกับการดูแลตัวเอง ไม่ใช่ว่าเศรษฐกิจแย่แล้วคนจะหันไปซื้อสินค้าความงามที่ราคาถูกลง ถึงต่อให้ราคาสูงก็ยังซื้อถ้าคุณภาพดี เพราะการเสริมความงามคือคุณค่าทางจิตใจ
แต่สิ่งที่เป็นความท้าทายใหญ่ เห็นจะเป็นเทรนด์ที่มาเร็วไปเร็วมากกว่า ผู้บริโภคเปลี่ยนไว ขี้เบื่อมากขึ้น อย่างคอลเลกชันของแบรนด์หนึ่ง จากเดิมที่อยู่ได้ 6 เดือน – 1 ปี ทุกวันนี้เพียง 3 เดือนก็ต้องลอนช์คอลเลกชันใหม่ ๆ ออกมา แบรนด์ต้องตอบสนองลูกค้าไว ใครที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เร็ว จึงจะได้ส่วนแบ่งการตลาดไป
“EVEANDBOY ตั้งใจอยากเป็น Top of Mind ของอุตสาหกรรมนี้ ย้อนกลับไปในวันแรกของธุรกิจมันเป็นความสำเร็จเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมา มันมีหลายอย่างที่เราเป็นผู้บุกเบิก หัวใจหลักคือต้องปรับตัวไว ใช้ความเร็ว และเข้าใจอินไซต์ความต้องการลูกค้า สำหรับปี 2568 มองการเติบโตจากปีก่อนหน้าที่ 30% ตั้งเป้าแตะ 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2570”
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline
