หลังปลดแอกแบรนด์ออกจากการเป็นเชนร้านขายโดนัท Dunkin’ ก็แตกไลน์ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหนึ่งในไลน์ผลิตภัณฑ์ที่กำลังไปได้สวย รับเทรนด์ตลาดและยุคสมัยคือเครื่องดื่ม

ต้นสิงหาคมที่ผ่านมา Dunkin’ ได้วางตลาดเหล้าครีมกลิ่นคาราเมลคาลัวร์ ที่สามารถใช้เพื่อผสมในค็อกเทลหรือผสมกับน้ำและน้ำแข็ง สำหรับดื่มในงานสังสรรค์ต่างๆ หรือจิบเพื่อผ่อนคลายช่วงค่ำถึงดึกเมื่ออยู่คนเดียวที่บ้าน

เครื่องดื่มล่าสุดนี้ทาง Dunkin’ จับมือกับ Kahlúa ยังมีจำหน่ายเฉพาะในสหรัฐฯ และมีราคาอยู่ที่ขวดละ 24.99 ดอลลาร์ (ประมาณ 920 บาท) โดยกลุ่มเป้าหมายหลักคือ Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มที่ค็อกเทลอย่างเอสเพรสโซ มาร์ตินี่ กำลังกลายเป็นสูตรใหม่ยอดฮิต

ท่ามกลางคาดการณ์ว่า นี่จะเป็นปัจจัยบวก ส่งให้ตลาดของสินค้าดังกล่าวสำหรับใช้ทำค็อกเทลทั่วโลกโตต่อเนื่อง จาก 2,300 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 69,000 ล้านบาท) ในปี 2019 เป็น 4,600 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 170,000 ล้านบาท) เมื่อถึงปี 2029

ประเด็นน่าสนใจจากเครื่องดื่มล่าสุดของ Dunkin’ ยังไม่หยุดแค่นั้น โดยสื่อสหรัฐฯ วิเคราะห์อิงทัศนะของที่ปรึกษาการตลาดในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มว่า เครื่องดื่มตัวล่าสุด ถือเป็นการเพิ่มการรับรู้แบรนด์ในหมู่ผู้บริโภค

พร้อมกันนี้ ยังทำให้ Dunkin’ มีเครื่องดื่มอยู่ในครัวหรือโซนเครื่องดื่มตามบ้านมากขึ้น และมีแบบทุกเวลาตั้งแต่เช้าตรู่ถึงค่ำหรือกระทั่งช่วงดึกเสียด้วย เริ่มจากครีมเทียม Dunkin’ Coffee Creamer ที่จับมือกับ Danone ที่ออกมาตั้งแต่เมื่อปี 2015

ตามด้วย Dunkin’ Glazed Donut โปรตีนผงชงดื่มหรือเวย์โปรตีน ชงดื่มช่วงเย็นหรือค่ำ ที่จับมือกับบริษัทผู้ผลิตอาหารเสริม Dymatize ซึ่งออกมาเมื่อปลายปี 2023

และล่าสุดกับน้ำเชื่อมผสมค็อกเทลสำหรับช่วงค่ำหรือดึกตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ซึ่งยังทำให้แบรนด์ Dunkin’ รุกตลาดเครื่องดื่มสายปาร์ตี้ตามผับ-บาร์ ได้อีกด้วย

ณ จุดนี้จึงหมายความว่า Dunkin’ สามารถต่อยอดและออกสินค้าใหม่ๆ ได้ต่อเนื่อง มีสินค้าจำหน่ายอยู่ทั้งตามร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างค้าปลีก จนกระจายไปเป็นเครื่องดื่มติดบ้านของผู้บริโภคได้แบบทุกเวลา รวมไปถึงตามผับ-บาร์ อันเป็นตลาดล่าสุด

การออกเครื่องดื่มตัวล่าสุดของ Dunkin’ ยังย้ำด้วยว่า Gen Z คือลูกค้ากลุ่มใหญ่สุดในตลาดที่แบรนด์ยุคนี้ โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่ม ต้องจับตามองและตามเทรนด์ในการกิน-ดื่มของพวกเขาให้ทัน

โดยนอกจากเทรนด์เอสเพรสโซ มาร์ตินี่ แล้ว Gen Z โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ยังกินเผ็ดกันเก่งขึ้นจากการกินเมนูแปลกใหม่ตามสื่อโซเชียล จนแบรนด์ในธุรกิจร้านอาหารต้องเพิ่มเมนูเผ็ดเข้ามา

สำหรับ Dunkin’ ก่อตั้งเมื่อปี 1950 ในชื่อ Dunkin’ Donuts ซึ่งคำแรกมาจากการจุ่มโดนัตลงถ้วยกาแฟ เพื่อให้อยู่ท้องและกินง่าย ซึ่งเป็นที่นิยมกันของชาวอเมริกันรายได้น้อยและคนทั่วไปที่ใช้จ่ายทุกอย่าง รวมถึงอาหารแบบประหยัด จากวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น

จากนั้น Dunkin’ Donuts ก็ขยับขยายจนกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ในธุรกิจอาหารแบบบริการด่วน (Quick Service Restaurant – QSR) แต่ในปี 2019 หลังยอดขายเครื่องดื่มเพิ่มสัดส่วนเป็นมากถึง 60% ของยอดขายทั้งหมด จึงนำมาสู่การตัด Donuts ออกจากชื่อแบรนด์ คงเหลือเพียง Dunkin’ เท่านั้น

การตัดสินใจดังกล่าวเป็นการแก้ปัญหาเรื่องการผูกติดกับโดนัท และเปิดประตูบานใหม่ๆ ทางธุรกิจให้กับ Dunkin’ ตรงตามที่ตั้งใจไว้ และตลอดหลายปีที่ผ่านมา เครื่องดื่มก็ยังคงถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญ

ทั้งนี้ปัจจุบัน Dunkin’ เป็น 1 ใน 7 แบรนด์ใต้ชายคา Inspire Brands เครือแบรนด์ร้านอาหารสัญชาติอเมริกัน จากการถูกซื้อกิจการเมื่อปี 2020 / cnn


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer