ปี 1965 บริษัท Yamasa Tokei Keiki ผู้ผลิตนาฬิกาและเครื่องมือวัดจากญี่ปุ่น เปิดตัวอุปกรณ์นับก้าวรุ่นแรกสำหรับผู้บริโภคทั่วไป หลังโอลิมปิกโตเกียว 1964 และท่ามกลางความกังวลว่าคนทั่วไปมีกิจกรรมทางกายน้อยกว่าเหล่านักกีฬามืออาชีพ
อุปกรณ์นี้ถูกตั้งชื่อว่า Manpo-kei หรือ “เครื่องนับหมื่นก้าว” และจากตรงนี้เอง ตำนานสุขภาพ “เดินวันละ 10,000 ก้าว” ก็ถือกำเนิดขึ้น
ดร.ไอ-มิน ลี นักระบาดวิทยาจาก Harvard Medical School อธิบายว่า ในยุคนั้นยังไม่มีงานวิจัยรองรับตัวเลข 10,000 ก้าว มันถูกเลือกเพราะฟังดูดี จำง่าย และอักษรญี่ปุ่นที่หมายถึง “หมื่น” ยังมีรูปร่างคล้ายคนกำลังเดิน จึงเป็นทั้งกลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์มากกว่าข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์
กระทั่งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษาจริงจังว่าตัวเลขนี้มีมูลความจริงเพียงใด ในปี 2019 ดร.ลีและคณะเผยแพร่งานวิจัยในกลุ่มผู้หญิงสูงอายุ
พบว่าการเดินเฉลี่ยเพียง 4,400 ก้าวต่อวัน ก็ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับผู้ที่เดินเฉลี่ยราว 2,700 ก้าว และเมื่อเพิ่มปริมาณการเดิน อัตราการเสียชีวิตก็ลดลงต่อเนื่องจนถึงราว 7,500 ก้าว ซึ่งถือเป็น “จุดสมดุล” ก่อนที่ประโยชน์จะเริ่มชะลอตัว
งานวิจัยล่าสุดใน The Lancet ยืนยันแนวโน้มนี้กับทุกเพศและทุกช่วงอายุ จากการวิเคราะห์ข้อมูลหลายแสนคนทั่วโลก พบว่า “ประโยชน์เกิดขึ้นเร็วกว่า 10,000 ก้าวมาก”
ฟิลิป แคลร์ นักสถิติชีวการแพทย์จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์กล่าว โดยการเดินเพิ่มจาก 2,000 ก้าวต่อวันเป็นราว 4,000 ก้าว ช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุได้ราว 30% และหากถึง 7,000 ก้าว ความเสี่ยงลดลงเกือบ 50% หลังจากนั้น ผลดีจะค่อยๆ เพิ่มแบบช้าๆ
ข้อมูลยังชี้ว่า คนที่เดินมากกว่ามีความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม มะเร็ง โรคหัวใจ และการหกล้มต่ำกว่าผู้ที่มีกิจกรรมทางกายน้อยอย่างชัดเจน แต่ความสัมพันธ์นี้เป็นเส้นโค้ง ไม่ใช่เส้นตรง หมายความว่าช่วงแรกของการเพิ่มก้าวเดินให้ประโยชน์มากที่สุด ก่อนที่ผลตอบแทนจะค่อยๆ ลดลง
บางปัจจัย เช่น ความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อาการซึมเศร้า และอัตราการเกิดมะเร็ง มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเพิ่มจำนวนก้าวเดิน แต่เนื่องจากมีงานวิจัยด้านนี้น้อย จึงยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน
แม้มีความเป็นไปได้ว่าการเดินมากขึ้นจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตและร่างกายต่อเนื่องจนถึงราว 12,000 ก้าวต่อวัน แต่ในความเป็นจริง การเดินให้มากที่สุดไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนทำได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีงานนั่งโต๊ะหรือวิถีชีวิตแบบเนือยนิ่ง ซึ่งการยึดติดกับตัวเลขเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว อาจสร้างความกังวลเกินประโยชน์ที่ได้รับ
ทั้งดร.ลีและแคลร์เห็นตรงกันว่า การสื่อสารด้านสาธารณสุขต้องตั้งอยู่บนหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์และไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกท้อ หากเริ่มต้นจากเป้าหมายที่สูงเกินเอื้อม ผู้คนอาจไม่พยายามเลย แต่ถ้าบอกว่าการเพิ่มกิจกรรมเพียงเล็กน้อยจากระดับปัจจุบันก็ช่วยสุขภาพได้มาก ก็อาจกระตุ้นให้คนเริ่มปรับพฤติกรรม
แคลร์ทิ้งท้ายว่า “คำแนะนำของผมคือ เดินให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และทำให้เป็นกิจวัตร” อย่ามองว่าการเดินเป็นกิจกรรมแยกจากชีวิตประจำวัน แต่ให้แทรกไว้ในกิจวัตร เช่น เดินระหว่างทำธุระ จอดรถให้ไกลขึ้น หรือเลือกใช้บันได
เมื่อทำต่อเนื่อง ตัวเลขบนเครื่องนับก้าวก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเอง “แม้คุณจะเพิ่มได้เพียงวันละ 1,000 ก้าวจากปกติ ก็ยังเห็นประโยชน์ได้”
ที่มา : https://www.popsci.com/health/10000-steps-debunk-science/

