แม้คำว่า “ชัตดาวน์” จะทำให้เข้าใจว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ปิดตัวลงทั้งหมด แต่ในความเป็นจริง หลายหน่วยงานยังคงเดินหน้าทำงานต่อไป โดยครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะสมาชิกรัฐสภาไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณทันตามกำหนด
บริการสำคัญอย่างการจ่ายเช็คประกันสังคม (Social Security) และสิทธิประโยชน์ด้านสาธารณสุขอย่าง Medicare ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่อยู่ในขอบข่ายงบประมาณประจำปี ขณะเดียวกัน การรักษาพยาบาลทหารผ่านศึกยังดำเนินต่อ รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนชายแดน และบริการพยากรณ์อากาศแห่งชาติ ส่วนกำลังทหารและฝ่ายความมั่นคงยังต้องปฏิบัติหน้าที่เช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม ความสะดวกในชีวิตประจำวันของชาวอเมริกันได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะพนักงานรัฐบาลกลางจำนวนมากที่ถูกสั่งพักงานชั่วคราว (furlough) หรือยังต้องทำงานต่อแต่ไม่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งภายหลังมักจะได้รับชดเชยเมื่อการชัตดาวน์สิ้นสุดลง ทั้งนี้ รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ เคยขู่จะเลิกจ้างพนักงานบางส่วนแทนการพักงาน ทำให้เกิดความไม่แน่นอนมากขึ้น
แม้หน่วยงานจำนวนมากยังเปิดทำงานอยู่ แต่ประสิทธิภาพของรัฐบาลโดยรวมลดลงเพราะระบบไม่สามารถเดินหน้าตามที่ควรจะเป็น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการชัตดาวน์ครั้งล่าสุดในยุครัฐบาลทรัมป์ ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และสิ้นสุดลงเมื่อเดือนมกราคม 2019 หลังจากเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ 10 รายไม่มาทำงาน จนทำให้สนามบินลากวาร์เดีย ในนิวยอร์กต้องปิดให้บริการชั่วคราว
“ชัตดาวน์” เกิดขึ้นได้เพราะกฎหมายตีความใหม่ตั้งแต่ปี 1980
แนวคิดเรื่องการ “ชัตดาวน์” ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่นาน โดยมีจุดเริ่มต้นจากบันทึกกฎหมายที่ เบนจามิน ซิวิเลตติ อัยการสูงสุดในสมัยประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ เขียนไว้เมื่อปี 1980 ก่อนหน้านั้น แม้สภาคองเกรสจะไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณได้ทันเวลา หน่วยงานรัฐบาลก็มักเดินหน้าทำงานต่อไปตามปกติ กล่าวได้ว่า “การชัตดาวน์” ในความหมายปัจจุบันเป็นผลลัพธ์จากการตีความกฎหมายของนักกฎหมายรัฐบาลเพียงคนเดียว
ตามหลักแล้ว กระบวนการอนุมัติงบประมาณประจำปีต้องเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนกันยายน ก่อนเข้าสู่ปีงบประมาณใหม่ซึ่งเริ่มต้นในเดือนตุลาคม โดยมีกฎหมายงบประมาณย่อย 12 ฉบับที่ต้องผ่านทั้งสองสภา แต่ปีนี้ไม่มีฉบับใดผ่านครบ และสภาคองเกรสก็ไม่สามารถผ่านร่างงบทั้งหมดได้ทันเส้นตาย 30 กันยายนเลย นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 1997 เป็นต้นมา
ปัจจุบัน สภาคองเกรสเข้าสู่วงจร “เลื่อนเวลา” โดยอาศัยการออกกฎหมายชั่วคราวเพื่อยืดเวลาไปเรื่อย ๆ การต่อสู้ล่าสุดระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันก็เป็นเพียงการหาทางผ่านร่างงบชั่วคราวที่จะทำให้รัฐบาลยังคงเดินหน้าต่อไปได้ถึงแค่เดือนพฤศจิกายนเท่านั้น
ศึกการเมือง “ชัตดาวน์” เดโมแครต–รีพับลิกัน
เบื้องหลังการต่อสู้รอบนี้คือการใช้ “ชัตดาวน์” เป็นเครื่องต่อรองทางการเมือง โดยพรรคเดโมแครตมองว่านี่คือโอกาสเดียวที่จะสร้างอำนาจกดดัน จึงยืนยันให้รีพับลิกันต้องยืดอายุเงินอุดหนุนภายใต้โอบามาแคร์ (Obamacare) มิฉะนั้นเบี้ยประกันสุขภาพของชาวอเมริกันราว 24 ล้านคนบนตลาดประกัน Affordable Care Act อาจพุ่งขึ้นถึง 75% ขณะที่รีพับลิกันยืนยันจะคุยเรื่องนี้ในช่วงปลายปี ไม่ใช่ตอนนี้
จุดจบของเกมใครจะถอยก่อน
การชัตดาวน์รอบนี้จะยาวหรือสั้น ขึ้นอยู่กับว่าใคร “ถอยก่อน” เพราะสุดท้ายแล้วต้องมีฝ่ายหนึ่งยอมถอย สถานการณ์นี้คล้ายกับชัตดาวน์ครั้งแรกในสมัยทรัมป์เมื่อเดือนมกราคม 2018 ตอนนั้นเดโมแครตเรียกร้องให้ช่วยเหลือถาวรแก่เด็กผู้อพยพผิดกฎหมาย หรือ “Dreamers” ที่ได้รับสถานะชั่วคราวจากโครงการ DACA ของโอบามา แต่ทรัมป์ยกเลิกโปรแกรมดังกล่าว สุดท้ายหลังไม่กี่วัน เดโมแครตยอมโหวตรับร่างงบชั่วคราว 3 สัปดาห์ เพื่อแลกกับคำมั่นว่าจะได้อภิปรายและแก้ปัญหา DACA ซึ่งในความเป็นจริงกลับไม่เกิดขึ้นเลย
ครั้งนี้จึงเป็นอีกบททดสอบว่าใครจะยอมก่อน และบทเรียนเก่าจะซ้ำรอยอีกหรือไม่.
ทำไม “ชัตดาวน์” น่ากลัวสำหรับนักการเมืองสหรัฐฯ
สำหรับทั้งประธานาธิบดีและสมาชิกรัฐสภา “ชัตดาวน์” ไม่ได้สร้างเพียงปัญหาต่อการบริหารประเทศ แต่ยังเสี่ยงต่อการสูญเสียแต้มทางการเมือง เพราะประชาชนอาจมองว่าพวกเขาล้มเหลวในการทำหน้าที่หลักคือทำให้รัฐบาลเดินหน้าได้ตามปกติ แมตต์ กลาสแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำงานของรัฐสภาจาก Government Affairs Institute ระบุว่า โดยมากแล้วฝ่ายที่ “ใช้ชัตดาวน์เป็นเครื่องต่อรอง” มักจะเป็นผู้ที่ถูกประชาชนโทษมากกว่า ซึ่งในกรณีนี้อาจหมายถึงพรรคเดโมแครต หากต้องจ่ายราคาทางการเมืองจริง ผลลัพธ์อาจกระทบต่อการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2026 ที่เดโมแครตหวัง夺คืนเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร
สามชัตดาวน์ใหญ่ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
ที่ผ่านมา สหรัฐฯ เคยเจอกับการชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อนานกว่าหลายวันรวม 3 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งจบลงด้วยฝ่ายการเมืองฝ่ายหนึ่งยอมถอยเพื่อยุติทางตัน ได้แก่
- ปี 1995–1996 (คลินตัน–นิวท์ กิงริช): พรรครีพับลิกันกดดันให้ตัดงบประมาณครั้งใหญ่ แต่สุดท้ายประธานาธิบดีบิล คลินตันยืนกราน และกิงริชคือฝ่ายที่ต้องยอมถอยหลังประชาชนโทษรีพับลิกันมากกว่า
- ปี 2013 (โอบามา–รีพับลิกัน): รีพับลิกันพยายามใช้ชัตดาวน์เพื่อหยุดโอบามาแคร์ แต่แรงกดดันทางการเมืองทำให้รีพับลิกันต้องยอมยุติการชัตดาวน์หลังยืดเยื้อกว่า 2 สัปดาห์
- ปี 2018–2019 (ทรัมป์–เดโมแครต): การชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ยืดไปถึง 35 วัน เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยืนกรานเรียกร้องงบสร้างกำแพงกั้นพรมแดน แต่สุดท้ายต้องถอยหลังเจอแรงกดดันหนักจากปัญหาการเดินทางและเศรษฐกิจ
สามกรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าฝ่ายใดพยายามใช้ “ชัตดาวน์” เป็นเครื่องต่อรอง สุดท้ายแล้วแรงกดดันทางการเมืองและเสียงประชาชนคือสิ่งที่บีบให้ต้องยอม “ถอย” เพื่อให้รัฐบาลกลับมาทำงานตามปกติ / cnn
