Tonari Coffee House คาเฟ่ Specialty ที่ต่อยอดจากร้านปิ้งย่าง Red Panda บนทำเลศักยภาพ

สาย Cafe Hopper ถ้าใครมีโอกาสไปเดินแถว บุญถาวร Design Village ราชพฤกษ์ จะเจอกับร้านคาเฟ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้น โดดเด่นด้วยบรรยากาศชวนให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในมุมสงบแบบญี่ปุ่นร่วมสมัย แสงนวลอุ่นลอดผ่านผนังกระจกบานกว้างสะท้อนกับโทนไม้เข้มและเส้นสายมินิมอลที่เรียบง่าย แต่เปี่ยมด้วยรายละเอียด ทุกมุมเหมือนถูกออกแบบมาเพื่อเล่าเรื่องความละเมียดละไม ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ไม้สีอบอุ่นไปจนถึงสวนเล็ก ๆ ที่ทอดตัวอยู่หลังผนังกระจก ซึ่งช่วยเชื่อมต่อธรรมชาติและความสงบเข้าด้วยกัน

บรรยากาศนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพื่อความสวยงาม แต่เพื่อสร้างพื้นที่ที่ผู้มาเยือนสามารถพักใจ จิบกาแฟหรือชาเขียวได้อย่างมีสติ และใช้เวลาช้า ๆ อย่างที่ชีวิตเมืองใหญ่ไม่ค่อยมีให้บ่อยนัก ราวกับได้ก้าวเข้าสู่ “บ้านชา” ในญี่ปุ่นทันทีที่เปิดประตูเข้ามา

นี่คือ Tonari Coffee House and Matcha Specialty ที่ตั้งอยู่ใน บุญถาวร Design Village ราชพฤกษ์ คาเฟ่ที่เกิดจากความตั้งใจเล็ก ๆ ของเจ้าของร้านปิ้งย่าง Red Panda แต่วันนี้กำลังขยับตัวเองขึ้นเป็นหนึ่งในร้านเครื่องดื่มที่ถูกพูดถึงมากที่สุด

จุดกำเนิดจาก Pain Point ที่จริงจัง

Tonari ไม่ได้เกิดจากการอยากมี “ร้านกาแฟ” เพิ่มอีกหนึ่งร้าน แต่เกิดจากการมองเห็นโอกาสตรง ๆ ว่า Red Panda ขาดอะไร

“ลูกค้าบอกเราตรง ๆ ว่าของหวานกับเครื่องดื่มยังไม่ตอบโจทย์ ผมเลยคิดว่าถ้าเรามีร้านที่ทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ จะช่วยเติมเต็มประสบการณ์ได้ครบ” คุณณัฐกานต์ อินทรวิจิตร กรรมการบริหาร บริษัท เรดแพนด้า ยากินิกุ จำกัด เล่าให้ Marketeer ฟัง

โดยชื่อ Tonari มาจากภาษาญี่ปุ่น แปลว่า “ข้าง ๆ” โลโก้ที่มีดาวใหญ่กับดาวเล็กก็สื่อถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Red Panda (ดาวใหญ่) และ Tonari (ดาวเล็ก) ที่ยืนเคียงกันไม่ห่าง

จาก Coffee House สู่ Matcha Specialist

Tonari เปิดตัวปลายปี 2567 ที่ผ่านมาในฐานะ Coffee House ที่มีเพียงเมนูขนมหวานและกาแฟพื้นฐาน แต่ไม่นานหลังจากนั้นตลาดก็เจอกับ Matcha Boom ที่แรงทั่วโลก ราคาวัตถุดิบชาเขียวพุ่งขึ้น 2–3 เท่า ทำให้ Red Panda Yakiniku ที่เดิมทีเสิร์ฟเมนู “มัทฉะลาเต้” ไม่สามารถเสิร์ฟได้อีกต่อไป

Tonari จึงกลายเป็นบ้านหลังใหม่ของมัทฉะ และกลายเป็นจุดพลิกที่ทำให้คาเฟ่เล็ก ๆ แห่งนี้เปลี่ยนบทบาทจาก Coffee House ไปสู่ Specialty Café ที่โดดเด่นด้วยกาแฟและชาเขียวควบคู่กัน

“ตอนแรก Tonari ไม่มีแม้แต่เมนูชาเขียว แต่เมื่อ Red Panda ต้องหยุดขายเพราะราคาวัตถุดิบแพง เราเลยย้ายมัทฉะมาไว้ที่นี่แทนและปรากฏว่ากลายเป็นเมนูที่ลูกค้าตอบรับดีที่สุด”

วัตถุดิบที่สร้างตัวตน

คุณณัฐเล่าให้ฟังว่าจุดต่างของ Tonari อยู่ที่การเลือกใช้วัตถุดิบที่พิเศษจริง ๆ

  • ชาเขียว Matcha และ Gyokuro มาจากบ้านชาญี่ปุ่น 3 แห่ง โดยเฉพาะ Hoshino matcha จากเมือง Yame ซึ่งถือเป็นแหล่งผลิตที่คนในวงการยอมรับว่าดีที่สุด
  • กาแฟ เลือกเมล็ดจากเอธิโอเปียและปานามา (Best of Panama) พร้อม Head Barista มาดูแลการปรับรสชาติให้เข้ากับผู้บริโภคไทย
  • ขนมและเบเกอรี่ ใช้มัทฉะเกรดสูง (Ceremonial Grade) ซึ่งต่างจากร้านทั่วไปที่มักใช้ Culinary Grade

“หลายคนคิดว่าการทำขนมใช้แค่ชาเขียวเกรดกลางก็พอ แต่จริง ๆ ถ้าใช้เกรดสูง ความหอม ความเขียว และรสชาติจะต่างทันที เราอยากให้ลูกค้าได้สัมผัสสิ่งนี้ในราคาที่เข้าถึงได้”

การเติบโตแบบออร์แกนิก

สิ่งที่น่าสนใจคือ Tonari ไม่ได้พึ่งพาการโหมการตลาดใหญ่ แต่เติบโตจากการบอกต่อแบบธรรมชาติ ลูกค้าที่แวะมาใน บุญถาวร Design Village ราชพฤกษ์ แชร์ประสบการณ์ใน TikTok และ Instagram โดยที่ร้านไม่ต้องลงทุนจ้าง Influencer ผลลัพธ์คือการกระจายชื่อเสียงไปไกลกว่าที่คาดคิด

“ผมเชื่อว่าความสำเร็จที่แท้จริงของTonar มาจากคุณค่าของสินค้าและบรรยากาศร้าน พอลูกค้าลองแล้วชอบ เขาก็อยากบอกต่อเอง”

บุญถาวร Design Village พาร์ทเนอร์การเติบโตที่ลงตัว

อีกหนึ่งจุดแข็งที่ทำให้Tonari Coffee House เติบโตอย่างต่อเนื่องคือ การเลือกทำเลที่ตั้งอย่าง บุญถาวร Design Village ราชพฤกษ์ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะหนึ่งในสาขาของ Red Panda เองตั้งอยู่ใน บุญถาวร Design Village สาขาเกษตร – นวมินทร์ ทำให้มีความคุ้นชินในการเป็นพาร์ทเนอร์กับ Landlord

โดย การวางหมากธุรกิจที่คำนวณแล้วว่า บุญถาวร Design Village ราชพฤกษ์ ตอบโจทย์ทั้งด้านทำเลและการเติบโตในระยะยาว พื้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านราชพฤกษ์–รัตนาธิเบศร์ ซึ่งมีประชากรเกือบ 60,000 คน และครัวเรือนกว่า 30,000 ครัวเรือน รายล้อมด้วยหมู่บ้านจัดสรรและโครงการที่อยู่อาศัยกว่า 150 โครงการ กลายเป็นฐานลูกค้าหลักที่เป็น “ครอบครัว” มีกำลังซื้อและมองหาพื้นที่สำหรับใช้ชีวิตทั้งวัน

ข้อได้เปรียบของ บุญถาวร Design Village ยังอยู่ที่การเป็น Community Hub เพียงแห่งเดียวในแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ที่สามารถเดินทางถึงได้ในเวลาเพียง 6 นาทีจากสถานี ช่วยดึงลูกค้าจากหลายทิศทาง ขณะเดียวกันโครงการยังมีพื้นที่จอดรถพร้อมหลังคา ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ใช้รถยนต์และให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็ก ๆ เช่นนี้

ที่สำคัญ บุญถาวร Design Village ไม่ได้หยุดเพียงการเป็น “ทำเลที่ดี” แต่ทำหน้าที่เสมือน Business Partner ที่สนับสนุนผู้ประกอบการตั้งแต่วันแรกที่คิดจะเปิดร้าน ด้วยค่าเช่าที่สมเหตุสมผล ไม่มีการบังคับขยายสาขา ไปจนถึงการให้คำปรึกษาเรื่องการออกแบบร้าน การตลาด และการใช้สื่อ นอกจากนี้ยังมี Growth Ecosystem ที่เชื่อมโยงธุรกิจต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ โรงเรียน หรือกิจกรรมครอบครัว เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้เวลาในพื้นที่ได้ทั้งวัน

“ตอนเสนอทำสวนด้านนอก ผมไม่คิดว่าจะได้ แต่ บุญถาวร Design Village กลับสนับสนุนเต็มที่ สิ่งนี้ทำให้บรรยากาศร้านสมบูรณ์แบบขึ้นมาก และนี่คือสิ่งที่ผมเชื่อว่าเขาไม่ใช่แค่เจ้าของพื้นที่ แต่คือพาร์ทเนอร์ธุรกิจจริง ๆ”

ทำให้Tonari Coffee House ไม่เพียงได้ทำเลที่เป็น “จุดตัด” ทางกายภาพ แต่ยังได้ จุดตัดเชิงกลยุทธ์ ที่รวม Traffic, Lifestyle และ Ecosystem ทางธุรกิจไว้ด้วยกัน จนกลายเป็นฐานสำคัญที่ผลักดันให้แบรนด์คาเฟ่เล็ก ๆ เติบโตได้อย่างมั่นคง

อนาคต Tonari Coffee House จะเป็น Starbucks ในเวอร์ชันของตัวเอง

แม้รายได้สาขาแรกเฉลี่ยเดือนละ 200,000 บาท (โดยยังไม่ทำการตลาดเต็มรูปแบบ) แต่คุณณัฐมองอนาคตTonari Coffee House ไปไกลกว่านั้น แผนคือการขยายปีละ 3-4 สาขาทั่วกรุงเทพฯ โซนศรีนครินทร์จะเป็นสาขาที่สอง

“ผมอยากให้Tonariเป็นเหมือน Starbucks ในแบบของเราเอง ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟ แต่เป็นพื้นที่ที่ใครก็เข้ามาแล้วรู้สึกดี จะนั่งทำงาน จะมาพร้อมครอบครัว หรือจะพาสัตว์เลี้ยงมาก็ได้ ที่สำคัญคือทุกอย่างต้องอยู่บนคุณภาพของสินค้าและบรรยากาศที่เราสร้างขึ้น”

Tonari เป็นตัวอย่างการสร้างแบรนด์จาก Pain Point ที่ชัดเจน ใช้โอกาสจาก Matcha Boom และพลังของ บุญถาวร Design Village ในการผลักดันให้ร้านเล็ก ๆ กลายเป็นแบรนด์ Specialty ที่คนพูดถึง ภายใต้แนวคิด “ทำในสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริง ๆ และทำให้ดีที่สุด”

และนี่อาจเป็นบทเรียนที่สะท้อนว่า ในโลกธุรกิจปัจจุบัน การมีพันธมิตรที่ใช่ และการมองหาช่องว่างเล็ก ๆ ที่ยังไม่มีใครทำ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ใหญ่ในวันข้างหน้า

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer