แม้วัฒนธรรมในการดื่มกาแฟไม่โด่งดังเหมือนอิตาลี และร้านกาแฟก็ไม่ได้อยู่ท่ามกลางอาคารทรงสวยในเมืองหลวงเหมือนฝรั่งเศส แต่ธุรกิจร้านกาแฟของเยอรมนีก็ได้ผุดไอเดียแปลกใหม่ 

นั่นคือการเปิดร้านกาแฟในสุสานเก่า โดยความน่าสนใจของเรื่องนี้ไม่หยุดลงตรงที่การเปิดโซนจิบกาแฟท่ามกลางที่ฝังเหล่าผู้วายชนม์ ซึ่งอาจทำให้คนในประเทศอื่นกลัวเรื่องหลอนๆ ที่จะตามมาเท่านั้น เพราะไม่น่าเชื่อว่านี่ได้กลายเป็นเทรนด์ฮิตไปแล้ว 

สุสานในกรุงเบอร์ลิน ของเยอรมนี ผูกพันกับชุมชนมาอย่างยาวนาน แต่ปัจจุบันเจ้าของคาเฟ่บางคนได้ยกระดับความสัมพันธ์นั้นไปอีกขั้น ด้วยการเปิดร้านกาแฟในมุมที่เงียบสงบและร่มรื่นที่สุดใจกลางสุสาน 

ปัจจุบัน เมืองหลวงของเยอรมนี มีร้านกาแฟในสุสานเก่าอยู่ราวสิบกว่าแห่ง โดยสถานที่เหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับความโศกเศร้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำหน้าที่เป็นโซนสงบท่ามกลางย่านที่วุ่นวาย 

แนวคิดนี้เกิดขึ้นได้จากลักษณะเฉพาะของเบอร์ลิน เพราะสุสานไม่ได้ถูกผลักออกไปอยู่นอกเมืองเหมือนเมืองหลักในประเทศอื่นๆ อย่างนิวยอร์กของสหรัฐฯ และปารีสของฝรั่งเศส

นอกจากนี้ยังพื้นที่ก็ไม่ใหญ่เกินไป อยู่ในทำเลที่สามารถเข้าไปถึงได้และฝังรากลึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนมาแต่เดิมอีกด้วย 

ร้านกาแฟประเภทนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แม้ในช่วงแรกจะมีความกังวลว่าลูกค้าจะรู้สึกกลัว หรือผู้ที่มาไว้ทุกข์จะรู้สึกไม่พอใจ แต่ความกลัวเหล่านั้นก็ได้ทยอยลดลงไป 

ตัวอย่างเช่น คาเฟ่ Lisbeth ซึ่งตั้งอยู่ในอดีตโถงของโบสถ์ที่รายล้อมด้วยต้นซากุระญี่ปุ่น โดย เคียรา ผู้จัดการร้านชาวอิตาลีวัย 30 ปี เล่าว่าเธอเจอร้านนี้จากโฆษณาออนไลน์ที่เขียนไว้กว้างๆ ว่า มองหาคนมาดูแลสถานที่น่ารักๆ พร้อมสวนสวยในย่าน Mitte เธอยอมรับว่าตกใจในตอนแรกที่รู้ว่าจะต้องทำงานในสุสาน 

เพราะในฐานะคนอิตาลี มันเป็นเรื่องคาดไม่ถึงเลย และความตายคือสิ่งที่ต้องซุกซ่อนในประเทศบ้านเกิด โดยครอบครัวถึงกับวิจารณ์ว่าเธอเสียสติไปแล้ว หลังรู้ว่าทำงานอยู่ที่ร้านกาแฟในสุสาน 

แต่หลังจากที่เริ่มทำงาน เคียรา ซึ่งเคยเรียนด้านจิตวิทยา ก็สังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่า ลูกค้าของเธอมาที่นี่ ด้วยลักษณะที่แตกต่างจากลูกค้าตามคาเฟ่ริมถนนทั่วไป 

โดยทันทีที่พวกเขาเดินผ่านประตูสุสานเข้ามา พวกเขาดูเหมือนจะเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น และอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย แม้มีบางคนที่อยากเพียงมองหาสถานที่เงียบสงบ (แม้จะแปลก) เพื่อพักเที่ยงเท่านั้น

ทว่าก็ต้องมีข้อจำกัด โดยจะไม่รับใช้เป็นสถานที่จัดปาร์ตี้แบบเสียงดัง เพราะขัดต่อบรรยากาศของสถานที่นั่นเอง 

เรื่องน่าสนใจของสุสานในเยอรมนีที่หลายแห่งมีร้านกาแฟผุดขึ้น ยังไม่หมดแค่นั้น โดยน้อยคนนักที่จะรู้ว่า รากเหง้าของคาเฟ่สุสานเหล่านี้มาจากวิกฤตโรคเอดส์ และการเปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติต่อความตาย 

แบรนด์ บอสส์มันน์ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งคาเฟ่สุสาน” โดยเขาได้เปิดร้าน Finovo ซึ่งเป็นร้านแรกในเยอรมนีเมื่อปี 2006 ในย่าน Schöneberg ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชีวิตชาว LGBTQ+ มานานกว่าศตวรรษ 

บอสส์มันน์เป็นนักเคลื่อนไหวในยุค 80 ที่ต่อสู้เพื่อการวิจัยเชื้อเอชไอวี หลังเห็นเพื่อนอายุน้อยนับไม่ถ้วนล้มตายจากสิ่งที่คนมักเรียกว่า “กาฬโรคของชาวเกย์” หลายคนถูกฝังไว้ที่สุสานโอลด์ เซนต์ มัตเธียส 

บอสส์มันน์เผยว่า เคยมองว่าที่เหล่านี้เป็นสถานที่ที่ดีกับคนตาย และแย่มากสำหรับคนเป็น แต่หลังเห็นว่าไม่มีที่ให้นั่งพัก ที่ซื้อดอกไม้ หรือแม้แต่ห้องน้ำเลย ประกอบกับมีอาคารร้างเล็กๆ ใกล้ประตูทางเข้า จึงผุดไอเดียทำร้านกาแฟ จนร้าน Finovo ได้ถือกำเนิดขึ้น 

มีหลายปัจจัยที่ทำให้ร้านกาแฟในสุสานบูมขึ้นมาในเมืองเยอรมนี เริ่มจาก การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เพราะคนเยอรมันรุ่นใหม่หันมาเลือกการเผาศพมากกว่าการฝัง ทำให้ความต้องการพื้นที่สุสานลดลง สุสานจึงประสบปัญหาทางการเงินในการบำรุงรักษาพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ 

ปัจจัยต่อมาคือความปลอดภัย โดยความเงียบและดูร้างทำให้สุสานหลายแห่งกลายเป็นเป้าหมายของการก่ออาชญากรรม

ทว่าเมื่อเกิดร้านกาแฟที่คนเดินไป-มาอยู่เรื่อยๆ แม้ไม่ได้ถึงขั้นพลุกพล่าน แต่ก็ชุบชีวิตให้สถานที่ ไม่ให้เงียบเหงารกร้าง จึงช่วยลดการเป็นที่รวมตัวของเหล่ามิจฉาชีพไปได้นั่นเอง 

อีกปัจจัยคือเรื่องราคา โดยราคาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ในเยอรมนีที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้การนำอาคารที่ไม่ได้ใช้งานในสุสานกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เป็นข้อเสนอที่น่าดึงดูดมาก เพราะอาคารที่อยู่ใกล้สุสานย่อมมีค่าเช่าหรือขายถูกกว่าอาคารทั่วๆไป 

ด้านลูกค้าหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การได้เข้ามาที่ร้านกาแฟในสุสาน ทั้งสงบและให้ความรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบโยนอย่างประหลาด นอกจากนี้ยังทำให้รู้สึกปลงและสัมผัสได้ถึงสัจธรรมของชีวิตอีกด้วย 

อังเดร นักสังคมสงเคราะห์วัย 37 ปี เล่าประสบการณ์ที่ Cafe Friedberg ว่า เดินมาถึงมุมตึกและเห็นกลุ่มผู้ไว้ทุกข์กำลังกล่าวคำอาลัย จึงค่อยๆ เดินอ้อมไปที่ทางเข้าคาเฟ่ จากนั้นก็เห็นกลุ่มคนในชุดดำกำลังกล่าวคำอำลาครั้งสุดท้าย โดยมีเพลงของ Neil Young เปิดคลอไปด้วย

เขาคิดว่า หากเป็นตัวเองศพที่นอนอยู่ในหลุมศพก็คงที่ยังมีผู้คนใช้ชีวิตในแต่ละวันไปอยู่บนพื้นดินรอบๆ ตัว ก็คงจะดูเจ๋งแบบแปลกๆ ดี เหมือนกัน 

ส่วน เจ้าของร้าน 21 Gramm (ตั้งชื่อตามน้ำหนักของจิตวิญญาณและชื่อหนัง) ซึ่งดัดแปลงจากโบสถ์ประกอบพิธีศพที่ถูกทิ้งร้าง ก็มองว่าทางร้านเป็นเหมือน โอเอซิสเล็กๆ ที่ลูกค้ามองว่าเป็นเรื่องชีวิตมากกว่าความตาย 

ขณะที่ลูกค้าชาวยูเครนของร้าน Mars ซึ่งเดิมเป็นโรงเผาศพเก่ามาก่อน กล่าวว่า มาที่นี่เพราะบรรยากาศลึกลับแต่ยังดูสวยงาม มีบริการดี โดยที่คุณสามารถซ่อนตัวจากโลกภายนอกได้ เป็นการผสมผสานที่ลงตัวที่สุด และยังทำให้ลืมเรื่องร้ายๆ จากสถานการณ์ในบ้านเกิด และความวุ่นวายของย่านใจกลางกรุงเบอร์ลินได้อีกด้วย

จากทั้งหมดจึงกล่าวได้ว่า แม้เป็นไอเดียธุรกิจที่แปลก แต่ในเมื่อร้านกาแฟในสุสาน เปลี่ยนที่ร้างให้ชีวิตชีวาขึ้นมา ด้วยราคาที่ถูกกว่าจากที่ดินทั่วไปในเมือง โดยที่เจ้าของหรือผู้ดูแลก็มีรายได้เข้ามา แถมยังช่วยลดการก่ออาชญากรรมได้อีกด้วย นี่จึงได้ประโยชน์กับหลายฝ่าย (Win Win) นั่นเอง

ส่วนเรื่องหลอนๆ อย่าง ผีสางหรือวิญญาน ยังไม่มีร้านกาแฟร้านไหนเจอ เพราะทั้งหมดเปิดตั้งแต่เช้าถึงเย็นเท่านั้น  / theguardian 

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer