แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี LINE MAN จัดเวทีสนทนาโต๊ะกลม “ถกกระแสคนละครึ่งพลัส ความหวังร้านอาหารและปากท้องคนไทย” พร้อมหยิบยกประเด็นจริงที่สังคมกำลังเผชิญ ทั้งความกังวลด้านภาษีและความหวังของผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการเติบโตมากกว่าการเพียงอยู่รอ เพื่อผลักดันให้เกิดมาตรการสนับสนุนที่ต่อเนื่องเป็นระบบ และเหมาะสมกับร้านค้าทุกขนาด

โดยเวทีสนทนามีผู้แทนจากหลายภาคส่วนเข้าร่วม นำโดย คุณยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai, คุณฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย, คุณณัฐฐารินทร์ (เจ้เอ๋) ตัวแทนผู้บริโภค พร้อมด้วย ดร. หมวย-อริสรา กำธรเจริญ ร่วมดำเนินรายการ เพื่อเชื่อมโยงและถ่ายทอดมุมมองจากทุกฝ่าย
คุณฐนิวรรณ กุลมงคล กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งเดิมเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือร้านอาหารในช่วงโควิดที่ถูกสั่งห้ามเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้ารับประทานในร้าน มาที่โครงการคนละครึ่งพลัสก็ถูกผลักดันอย่างจริงจังหลังจากที่เศรษฐกิจหลังสงกรานต์ปีนี้ค่อนข้างซบเซา
ซึ่งผู้ประกอบการร้านอาหารได้เสนอขอมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลในหลายเรื่อง อาทิ การคุมราคาวัตถุดิบและต้นทุนพลังงาน แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่ต้องการที่สุดคือโครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งเป็นทางรอดของผู้ประกอบกลุ่มไมโคร เอสเอ็มอี ในหลากหลายกลุ่ม ไม่เพียงแต่ร้านอาหาร อาทิ ร้านตัดผม, สปา, ขนส่งสาธารณะ โดยปัจจุบันมีกลุ่มเหล่านี้เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศแล้วกว่า 6 แสนราย
อีกทั้งร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ยังได้รับความเชื่อมั่นจากรัฐบาลว่าจะไม่มีการเก็บภาษีย้อนหลัง คลายความกังวลเรื่องดังกล่าวที่เคยเกิดขึ้นจากโครงการคนละครึ่งรอบที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม สมาคมภัตตาคารไทยได้กล่าวถึงข้อเสนอเพิ่มเติมที่ได้ยื่นต่อรัฐบาลอย่างการขอให้ผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟสต่อไปได้ด้วย โดยเฉพาะนิติบุคคลที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี หรือก็คือกลุ่มร้านค้าที่มียอดขายประมาณ 10,000 – 30,000 บาทต่อวัน
เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องแบกรับต้นทุนการดำเนินกิจการที่สูง อาทิ ค่าเช่า ค่าพนักงาน การเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งรัฐบาลก็ควรให้คุณค่าแก่ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ที่อยู่ในระบบภาษี
ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่งพลัส ได้สร้างความเข้มข้นให้การแข่งขันในตลาดร้านอาหาร เพื่อช่วงชิงเม็ดเงินรวมกันเกือบแสนล้านบาท จากการที่รัฐบาลได้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าไป รวมกับส่วนที่ผู้บริโภคจะสมทบเข้าไปอีกครึ่งหนึ่ง
สมาคมภัตตาคารไทย ประเมินว่าร้านอาหารบางส่วนที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส จะมียอดขายเติบโตได้ 10-20% และเดิมทีมีการประมาณการยอดขายภาพรวมของร้านอาหารในไทยปี 2025 ไว้ที่ 600,000 – 640,000 ล้านบาท แต่ด้วยโครงการกระตุ้นนี้ คาดว่าอาจขยับขึ้นไปแตะ 700,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี โครงการคนละครึ่งพลัสเปรียบเสมือนการ “ฉีดสเตียรอยด์” ที่ทำให้เกิดความสุขชั่วคราวเพียง 2 เดือนเท่านั้น ผู้ประกอบการและสมาคมยังคงหวังว่ารัฐบาลจะดำเนินโครงการอื่น ๆ ที่ครอบคลุมกว่านี้ เช่น การกระตุ้นการส่งออก การดูแลภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการท่องเที่ยว อย่างการสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว
อีกทั้งโครงการคนละครึ่งพลัส ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ประกอบการกลุ่มไมโคร เอสเอ็มอี แต่ในอีกมุมหนึ่ง โครงการนี้หมายถึงการใช้เงินงบประมาณที่มีจำกัด และเป็นการลดรายได้ของภาครัฐจากการจัดเก็บภาษี ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ผู้ประกอบการทุกคนควรเตรียมพร้อมอยู่เสมอ และมองว่าทุกคนมีหน้าที่ต้องเสียภาษี
ส่วนประเด็นที่โครงการคนละครึ่งพลัส ได้ขยายช่องทางการใช้สิทธิให้ครอบคลุมการสั่งอาหารผ่านบริการฟู้ดเดลิเวอรี โดยมีหลายแพลตฟอร์มหลักเข้าร่วมโครงการ ซึ่งประชาชนจะสามารถเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2025 เป็นต้นไป
ซึ่งร้านค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสอยู่แล้ว จะต้องทำการสมัครเข้าร่วมโครงการฟู้ดเดลิเวอรีผ่านแอปพลิเคชันถุงเงินอีกครั้ง ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายนนี้ โดยสามารถเลือกผูกกับแพลตฟอร์มเดลิเวอรีที่ร้านใช้งานอยู่ได้ 1 แพลตฟอร์มเท่านั้น
คุณยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN หนึ่งในแพลตฟอร์มที่เตรียมพร้อมเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งจะช่วยเพิ่มทางเลือกในการใช้จ่ายและกระจายรายได้สู่ร้านอาหารและไรเดอร์มากขึ้น
เปิดเผยว่า LINE MAN คือแพลตฟอร์มอันดับ 1 ที่ร้านค้าส่วนใหญ่เลือกใช้ในโครงการคนละครึ่งรอบที่ผ่านมา โดยมีร้านอาหารกว่า 60-70% ที่เลือกเข้าร่วม และส่งผลให้ยอดขายร้านค้าขนาดเล็กเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.5 – 5 เท่า ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพของความร่วมมือนี้
ทั้งออเดอร์ฟู้ดเดลิเวอรีที่มากขึ้น หมายความว่าไรเดอร์จะมีงานมากขึ้นด้วย LINE MAN ยังมีการให้โบนัสแก่คนขับเพื่อกระตุ้นให้ออกมาขับขี่มากขึ้น และขณะนี้กำลังรับสมัครคนขับโดยไม่จำกัดจำนวน หลังคาดว่าจะมีออเดอร์เพิ่มขึ้นหลายแสนต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน เป็นต้นไป
โดยเพื่อสนับสนุนโครงการคนละครึ่งพลัส LINE MAN ได้ประกาศลดค่า GP (Gross Profit) เป็นพิเศษเหลือเพียง 7% สำหรับร้านค้าที่สมัครเข้าร่วมโครงการในวันที่ 3 พฤศจิกายน และอัตรา 9% สำหรับผู้สมัครตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายนจนจบโครงการ ซึ่งโดยทั่วไปอัตรามาตรฐานค่า GP ของแพลตฟอร์มจะอยู่ที่ประมาณ 30-35% แต่อาจมีอัตราพิเศษที่แตกต่างกันไปตามประเภทของร้านค้าหรือแคมเปญที่เข้าร่วม
แพลตฟอร์มยังมีการเตรียมงบประมาณสนับสนุนด้านการตลาดถึง 300 ล้านบาทเพื่ออัดฉีดออร์เดอร์เดลิเวอรี และยังมีการขยายระยะทางส่งฟรีเป็น 5 กิโลเมตร ในช่วงระยะเวลาโครงการคนละครึ่งพลัส
LINE MAN ยังได้ดึง “หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย” มาเป็นพรีเซนเตอร์คนใหม่เพื่อขับเคลื่อนแคมเปญให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคทั่วประเทศกว่า 7 ล้านสิทธิ์ ที่เคยใช้งานผ่านแพลตฟอร์มในโครงการคนละครึ่งเฟสที่ผ่านมา
ทั้งคาดว่าโครงการคนละครึ่งพลัสจะช่วยกระตุ้นยอดขายของร้านค้าในแพลตฟอร์มในช่วงเดือนแรกให้เพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% และจะช่วยดึงดูดผู้ใช้งานใหม่ที่ไม่เคยสั่งเดลิเวอรีเข้ามาได้เป็นหลักล้านคน
โดย LINE MAN ยังได้ทำงานร่วมกับรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 2 โดยมุ่งเน้นการอัพสกิลร้านค้าขนาดเล็กให้มีความรู้ทางการเงิน และสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านการคาดการณ์ว่าอาจมีร้านค้าบางแห่งฉวยโอกาสโก่งราคาหรือลดปริมาณอาหารในช่วงการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส แต่ด้วยระบบดิจิทัลของ LINE MAN จะทำให้สามารถตรวจสอบได้ว่าร้านค้าขึ้นราคาหรือไม่ เมื่อเทียบกับราคาก่อนหน้า รวมถึงการตรวจสอบว่าเป็นร้านอาหารจริงหรือไม่ มีการเปิดร้านซ้ำหรือไม่ โดยใช้การตรวจสอบตำแหน่ง (Location) และการส่งไรเดอร์ไปยืนยัน
โดยหากพบการเปิดร้านซ้ำ ร้านนั้นจะถูกแบนทันที สำหรับการโก่งราคา ต้องพิจารณาความเหมาะสม เนื่องจากร้านอาหารมีสิทธิ์เปลี่ยนราคา แต่ผู้บริโภคจะตัดสินเองผ่านการให้เรตติ้ง และหากมีข้อร้องเรียนจริง ๆ ทาง LINE MAN ก็จะดำเนินการแก้ไข
คุณณัฐฐารินทร์ (เจ้เอ๋) ตัวแทนจากภาคผู้ประกอบการและประชาชน กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งพลัส สร้างความคึกคักในการใช้จ่ายให้กับร้านค้ารายย่อยและประชาชนในจังหวัดสระบุรีได้อย่างมากในช่วงที่ค่าครองชีพสูง
อย่างไรก็ตาม ก็อยากฝากถึงภาครัฐและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้เห็นความสำคัญของการส่งเสริมการสร้างความรู้ การเตรียมความพร้อม เกี่ยวกับการจัดการเรื่องภาษีแก่ร้านค้ารายเล็ก เพื่อลดความกังวลที่เคยเกิดการโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจากการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งรอบที่ผ่านมา
