รายได้งวด 9 เดือนของ “ปลูกผักเพราะรักแม่ (OKJ)” ยังขยับขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่ แต่กำไรกลับทรุดแรงกว่า –35% สะท้อนโจทย์ใหญ่ของธุรกิจร้านอาหารยุคนี้ ที่รายได้สามารถโตได้ด้วยการขยายสาขา แต่กำไรกลับลดลงเพราะต้นทุนแรงงาน–ค่าเช่า–และโปรโมชันที่กินมาร์จิน ทำให้โอ้กะจู๋ในปีนี้ “ไม่เป็นไปตามคาดหวัง” โดยเฉพาะยอดขายสาขาเดิมที่หดตัวมากถึง –23% ในไตรมาสล่าสุด
ภาพรวม 9 เดือนปี 2568 ของ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) – OKJ บอกชัดว่า การเติบโตของบริษัทไม่ได้มาจากการฟื้นตัวของแบรนด์หลัก แต่โตเพราะการเปิดสาขาใหม่ของหลายแบรนด์ โดยเฉพาะ Oh! Juice และ Joe Wings ที่เข้ามาเติมยอดขาย แต่ไม่สามารถดึงให้กำไรกลับมาเติบโตได้ตามรายได้
หลายปัจจัยกดดันเข้ามาพร้อมกัน ทั้งกำลังซื้อผู้บริโภคที่ชะลอช่วงหน้าฝน, การแข่งขันในย่านเมืองที่รุนแรงกว่าเดิม, ต้นทุนแรงงานที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง และการใช้โปรโมชันที่จำเป็นต่อการพยุงทราฟฟิก แต่กระทบต่อรายได้สุทธิ
ขณะที่โอ้กะจู๋ ซึ่งเคยเป็นแบรนด์ที่มีฐานลูกค้าแน่น กลับเผชิญยอดขายสาขาเดิมหดตัวแรงที่สุดตั้งแต่เข้าตลาด ธุรกิจจึงสะท้อนความกังวลของนักลงทุนว่าบริษัทอาจกำลังเข้าสู่ “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” ของธุรกิจ ที่ต้องหาโมเดลกำไรใหม่ เพื่อให้ขยายสาขาได้โดยไม่ทำให้ต้นทุนเพิ่มมากเกินไป
🟥 10 ประเด็นสำคัญ
1) รายได้รวมโต +21.6% แต่มาจากสาขาใหม่เป็นหลัก
งวด 9 เดือนมีรายได้ 2,104.4 ล้านบาท โตจากปีที่แล้ว แต่แรงขับเคลื่อนหลักคือการเปิดสาขาใหม่ ไม่ใช่การเติบโตของแบรนด์เก่าอย่างโอ้กะจู๋ที่ยอดขายสาขาเดิมลดลง
2) ยอดขายสาขาเดิมโอ้กะจู๋ทรุด –23% หนักที่สุดในรอบหลายปี
การชะลอตัวของกำลังซื้อ บวกกับการแข่งขันในย่านเมืองทำให้สาขาเดิมทำยอดได้น้อยลง แม้บริษัทจะพยายามออกเมนูใหม่หลายรายการตลอดปี
3) สาขาใหม่ช่วยดันรายได้ แต่ยังไม่สร้างกำไรอย่างยั่งยืน
ทั้งโอ้กะจู๋, Oh! Juice, Joe Wings เปิดรวมกันกว่า 27 สาขาใหม่ในงวด 9 เดือน แต่ต้นทุนแรงงาน–ค่าเช่าเพิ่มขึ้นเร็วกว่า
4) กำไรสุทธิลดลงหนัก –35.5% เหลือ 104.7 ล้านบาท
แม้รายได้เพิ่ม แต่ต้นทุนอาหาร + ค่าใช้จ่ายคงที่สูง ทำให้กำไร 9 เดือนลดลงต่อเนื่อง
5) ไตรมาสล่าสุดกำไรสุทธิลดลงถึง –71%
จากกำไร 60.1 ล้านบาท เหลือเพียง 17.3 ล้านบาท เป็นสัญญาณว่าค่าใช้จ่ายเติบโตเร็วกว่ายอดขายอย่างมีนัยสำคัญ
6) สาขา Oh! Juice โตแรง 3 เท่า ขึ้นเป็นแบรนด์สำคัญของบริษัท
Oh! Juice ขยายสาขาและยอดขายต่อสาขาเพิ่มขึ้น จนสัดส่วนรายได้เพิ่มจาก 3% เป็น 14% ของบริษัททั้งหมด
7) ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร พุ่ง +38.8%
ค่าใช้จ่ายทำการตลาด + ค่าแรง + ค่าเช่าสาขาใหม่ ส่งผลให้สัดส่วน SG&A สูงถึง 33–39% ของรายได้ในหลายไตรมาส
8) กลยุทธ์การตลาดพึ่งพา “โปรโมชัน” มากขึ้นเพราะทราฟฟิกลด
ทั้งโอ้กะจู๋และ Oh! Juice ต่างใช้ “ซื้อ 1 แถม 1” หรือแคมเปญร่วมกับแบรนด์พาร์ตเนอร์ ซึ่งช่วยเพิ่มการรับรู้แต่ลดมาร์จินโดยตรง
9) Delivery และ Kiosk รายได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง
รายได้ลดจาก 19.5 ล้านบาท เหลือเพียง 7.8 ล้านบาท เพราะการแข่งขันสูง และผู้บริโภคเลือกใช้เดลิเวอรีกับสินค้าที่มีความคุ้มค่ามากกว่า
10) Joe Wings โตเร็ว แต่สัดส่วนยังเล็กเกินจะช่วยผลประกอบการทั้งบริษัท
รายได้ Joe Wings ไตรมาส 3/68 อยู่ที่ 10.9 ล้านบาท แม้โต แต่ยังไม่พอสร้างแรงผลักดันด้านกำไร
🟥 มุมมองตลาด F&B ปีนี้คือปี “กำไรยากที่สุด”
สิ่งที่เกิดกับ OKJ ไม่ได้เกิดเพียงรายเดียว แต่เป็นภาพสะท้อนของอุตสาหกรรมร้านอาหารทั้งประเทศที่เจอ “Perfect Storm” จาก 3 ปัจจัยสำคัญคือ
1.กำลังซื้ออ่อนลงในกลุ่มคนเมือง
2.ค่าแรงและต้นทุนคงที่ที่ไม่ลดลงตามยอดขาย
3.การแข่งขันด้านโปรโมชันและเดลิเวอรีที่กินมาร์จินอย่างหนัก ทำให้ปีนี้กลายเป็นปีที่หลายแบรนด์ต้องพึ่งการเปิดสาขาเพิ่มเพื่อดันรายได้ แต่กำไรกลับไม่ขยับตาม
ตลาด F&B ในปีหน้าอาจเห็นภาพของแบรนด์ที่ชะลอการขยายสาขา หันมาบริหารสาขาเดิมให้ทำกำไรให้ได้มากขึ้น ตลอดจนการหาช่องทางรายได้ใหม่ เช่นผลิตภัณฑ์พร้อมกิน–พร้อมดื่ม (RTD), เมนูซิกเนเจอร์แบบ FMCG, ระบบสมาชิก, และโมเดลเดลิเวอรีแบบคุ้มค่ากว่าปัจจุบัน
ซึ่งถ้า OKJ สามารถทำให้โอ้กะจู๋กลับมาเติบโตในระดับสาขาเดิมได้ จะช่วยปลดล็อกโครงสร้างกำไรของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
อ้างอิง : OKJ-Q3-2025
