ผลกระทบจากคำขู่ของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นต่อจีน ที่ว่าพร้อมใช้กำลังทหารกับจีนหากบุกไต้หวัน เพราะมองว่าคุกคามต่อญี่ปุ่นเช่นกัน ซึ่งต่อเนื่องมาจากความไม่พอใจที่จีนส่งทหารไปยังเกาะที่มีข้อพิพาทกันอยู่ กำลังปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
โดยล่าสุดเริ่มลามไปถึงธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น ทาคาชิ อิโตะ เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นในนครเซี่ยงไฮ้ ของจีน เผยว่าเริ่มเผชิญปัญหาการยกเลิกจองจากลูกค้าชาวจีน แบบไม่แจ้งเหตุผล ซึ่งทำให้กังวล เพราะนั่นคือลูกค้ากลุ่มใหญ่ คิดเป็นครึ่งหนึ่งของการจองทั้งหมดของร้าน

พร้อมกันนี้ก็ได้เริ่มหาวัตถุดิบจากจีนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกว่าคำสั่งห้ามนำเข้าของรัฐบาลจีนต่ออาหารทะเลญี่ปุ่นจะยกเลิกหรือผ่อนปรนลงไป แต่ก็ยอมรับว่าบางเมนูที่ต้องทำจากปลานำเข้าญี่ปุ่นอาจหายไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
ทาคาชิ อิโตะ กล่าวต่อพร้อมถอนหายใจว่า คงจะไม่มีข่าวดีเกี่ยวกับการนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นในเร็วๆ นี้ และคิดว่า ซานาเอะ ทาคาอิชิ นายกฯ หญิงคนแรกของญี่ปุ่น ผู้มีนโยบายอนุรักษ์นิยมเข้มข้น และแข็งกร้าวด้านกิจการต่างประเทศ คงไม่เปลี่ยนคำพูดหรือลดท่าทีง่ายๆ

แต่เขาก็หวังให้นักการทูตในญี่ปุ่นและจีนร่วมกันคลี่คลายสถานการณ์ เพื่อให้ชาวจีนกับญี่ปุ่นสามารถอร่อยกับอาหารเดียวกันได้โดยไม่ต้องมาทะเลาะกัน เพราะผู้ประกอบกิจการร้านอาหารญี่ปุ่นในจีนอย่างพวกตน ต้องเจ็บปวดทุกครั้งที่ความขัดแย้งแบบนี้เกิดขึ้น
ด้าน คาซูอากิ โซเนะ เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นในจีนอีกแห่ง เชื่อว่าที่สุดแล้ว ความขัดแย้งครั้งนี้จะคลี่คลายเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา เพราะตนอยู่ในจีนมานาน และเชื่อว่าเพื่อนๆ ชาวจีนจะเข้าใจ และ ยังสามารถพูดคุยกันได้ เหมือนในสถานการณ์ปกติ
นี่เป็นการสะท้อนถึงผลกระทบและความกังวลของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในจีน เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยต้องเจ็บปวด จากการถูกจำกัดการนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่นบางส่วน เพราะกลัวว่าจะมีสารพิษจากโรงงานนิวเคลียร์ปนเปื้อน และยอดขายตกทุกครั้งที่ทั้งสองประเทศขัดแย้งกัน ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม
อีกประเด็นที่ต้องจับตามอง คือ ญี่ปุ่นจะรับมืออย่างไรในช่วงที่ไม่สามารถส่งออกอาหารทะเลไปจีนได้ เพราะจีนถือเป็นตลาดส่งออกอาหารทะเลใหญ่สุด และมีบริษัทส่งออกอาหารทะเลญี่ปุ่นมากถึง 700 แห่งที่ต้องพึ่งพาตลาดจีน
โดยทางออกที่เป็นไปได้อาจเป็นการกระจายสินค้าไปยังประเทศเอเชียแห่งอื่นๆ ที่อาหารทะเลญี่ปุ่นได้รับความนิยม ซึ่งประเทศที่ดูจะอ้าแขนรับมากสุดคือไต้หวัน
ซึ่งสะท้อนออกมาจากการโพสต์ภาพกินอาหารญี่ปุ่นของ ประธานาธิบดี ไล่ ฉิง-เต๋อ ผู้นำไต้หวัน ไม่กี่วันหลังจีน “สั่งแบน” อาหารทะเลญี่ปุ่น และการที่อาหารญี่ปุ่นแทรกอยู่ในเมนูอาหารของไต้หวันมานาน เพราะในอดีตญี่ปุ่นเคยผนวกไต้หวันเข้าเป็นดินแดนของตน
ทั้งนี้มีการประเมินว่า หากความขัดแย้งครั้งนี้ลากยาว และบานปลาย มูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจสูงถึง 2.2 ล้านล้านเยน (ประมาณ 460,000 ล้านบาท) โดยนอกจากธุรกิจร้านอาหารตามที่ได้รายงานไปด้านบนแล้ว อีกธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบคือท่องเที่ยว
เพราะจีนเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่สุดของญี่ปุ่น เฉพาะแค่กรกฎาคมถึงกันยายนที่ผ่านมา ยอดการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวจีนในญี่ปุ่นก็สูงถึง 590,000 ล้านเยน (ประมาณ 123,000 ล้านบาท) แล้ว / japantoday
