กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP เผยปี 2560 ที่ผ่านมาสภาพคล่องทางการเงินของธุรกิจภายในประเทศยังตึงเครียดอยู่เนื่องจาก สภาพคล่องทางการเงิน ยังมิได้ไหลเข้าไปสู่ภาคธุรกิจที่มีความต้องการทางการเงินเท่าที่ควร ซึ่ง ปี 2561 คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นเช่นเดียวกันนอกจากนี้ KKP ยังได้เผยถึงผลการดำเนินงานในปี 2560 ถึงผลกำไรเบ็ดเสร็จรวมเติบโตขึ้น6.2%

.

อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เผยถึงผลประกอบการปี 2560 ว่า “KKP และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 5,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.4% มีกำไรเบ็ดเสร็จรวมเท่ากับ 6,115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% มีสินทรัพย์รวม 259,335 ล้านบาท เพิ่มขึ้น10.9% ด้านสินเชื่อของธนาคารในปี 2560 มีการขยายตัว 9.3% หลังจาก 3 ปีที่ผ่านมามึการหดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยสินเชื่อมีการเติบโตเกือบทุกประเภทยกเว้นสินเชื่อเช่าซื้อที่ยังมีการหาดตัวทั้งนี้สินเชื่อที่มีการขยานตัว ได้แก่ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยโต 205%, Micro SMEs รวม KK SMEโต 84%, สินเชื่อบุคคลโต 35%, สินเชื่อบรรษัท โต 130%, สินเชื่อ Lombard โต 62% สำหรับสินเชื่อด้อยคุณภาะต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 5.0% ดีกว่าปี 2559 ที่อยู่ที่ 5.6% สำหรับตลาดทุนนั้นมีรายได้รวมที่ 3,000 ล้านบาท โดย บล.ภัทร มีส่วนแบ่งตลาด 4.69% เป็นอันดับที่ 5 จากบริษัทหลักทรัพย์ 38 แห่ง”

.

ในปี 2561 นี้ KKP ตั้งเป้าเป้าขยายฐานลูกค้าเชิงรุก เพื่อขยายฐานบัญชีทั้งสินเชื่อและเงินฝากและสร้างโอกาสสำหรับการทำ cross-sell ผลิตภัณฑ์อื่นภายในกลุ่มธุรกิจฯ นอกจากนี้ยังจะพัฒนาช่องทางการลงทุนในต่างประเทศของลูกค้าบุคคลรายใหญ่ให้มีความหลากหลาย และทำให้ลูกค้าสามารถรับคำแนะนำในการลงทุนและทำรายการได้สะดวกและใกล้ชิดยิ่งกว่าที่รับบริการ Private Bank ต่างประเทศ โดยในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตที่ 10% ด้านสินเชื่อด้วยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPLs) คาดว่าจะลดลงไปที่ประมาณ 4.5% ส่วนนโยบายทางด้านสาขานั้น ธนาคารมีแนวคิดเรื่องการพัฒนาเครือข่ายสาขา ซึ่งรวมถึงการปิด  ย้ายสาขาหรือปรับปรุงตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา (ปัจจุบันมี 66 สาขา) เพราะมองเห็นว่าการทำธุรกรรมที่สาขาอาจมีไม่มากเท่าเดิม และยังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ เข้ามาอำนวยความสะดวกมากขึ้น โดยในอนาคต หลายสาขาของธนาคารจะถูกยกระดับให้เป็นFinancial Hub ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 แห่งคือสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ และสาขาทองหล่อ และปี 2561 นี้จะเปิดอีกหนึ่งสาขาที่เยาวราช)ฝ หรือสถานที่ให้ลูกค้าเข้ามารับคำปรึกษาในการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่บริการอื่นๆ จะพัฒนาไปสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศที่กำลังทยอยเกิดขึ้นภายใต้โครงการ National e-Payment โดยกลุ่มธุรกิจฯ จะใช้เครือข่ายสาขาที่มีอยู่

.

นอกจากนี้ KKP ได้ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2561 จะเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่3.8% โดยมีปัจจัยหนุนหลัก 2 ปัจจัย คือ

  1. ภาคเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งจากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่พร้อมเพรียงกัน ขณะที่มาตรการปฏิรูปภาษีของรัฐบาลสหรัฐก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจโลกเช่นกัน และ
  2. ภาคเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น การเบิกจ่ายงบกลางปี เป็นต้น ด้านการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นแต่ไม่โดดเด่นนัก ทั้งนี้ มีประเด็นที่ต้องจับตา 3 ประการ ได้แก่ 2.1เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้อย่างทั่วถึงหรือไม่ โดยที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากภาคระหว่างประเทศเป็นหลัก 2.2 การลงทุนของภาครัฐและเอกชนจะกลับมาขยายตัวหรือไม่โดยที่ผ่านมาการเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐ (ที่รวมรัฐวิสาหกิจ) ต่ำกว่าเป้ามาโดยตลอดและ 2.3 ความตึงตัวภาคการเงินจะผ่อนคลายลงหรือไม่ โดยที่ผ่านมาแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินจะอยู่ในระดับต่ำแต่สภาพคล่องทางการเงินมิได้ไหลเข้าไปสู่ภาคธุรกิจที่มีความต้องการทางการเงินเท่าที่ควร


ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online