ไดเกียว แบรนด์น้ำมันหล่อลื่นรุ่นเก๋าที่กำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน (วิเคราะห์)
ต้น ๆ รถเป็นอะไร
หนึ่งในวลีที่หลายคนจดจำได้ จากโฆษณาน้ำมันเครื่องไดเกียว โฆษณาที่ออนแอร์ครั้งแรกเมื่อปี 2538 ที่ในวันนี้ใครหลายคนใช้ภาพโฆษณาและวลี ต้น ๆ รถเป็นอะไร นำมาเป็นมีม ใส่วลีต่าง ๆ เข้าไปเพื่อสื่อสารถึงกันในหลากโอกาส
และการนำมีมจากโฆษณาไดเกียวมาเล่นในโลกโซเชียลบ่อยครั้งนี้เอง ทำให้คนรุ่นใหม่หลายคนสงสัยว่า ไดเกียวคืออะไร
แบรนด์ไดเกียวเป็นแบรนด์น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ จาระบี ที่มีอยู่ในตลาดไทยมาอย่างยาวนาน โดย บริษัทไดเกียวออยล์ จำกัด จัดจำหน่ายโดย บริษัท เอเชียออยล์ จำกัด
โดยทั้ง 2 บริษัทนี้จดทะเบียนบริษัทในชื่อของบุคคลเหมือนกันเกือบทั้งหมด
บริษัท ไดเกียวออยล์ จำกัด จดทะเบียนในชื่อของ
ถกล ติงธนาธิกุล
ธนพล ชูสร้อยปิ่น
สมภพ ติงธนาธิกุล
พิชญะ ติงธนาธิกุล
จุฬาภรณ์ ชูสร้อยปิ่น
มีรายได้ 3 ปีย้อนหลังที่แจ้งกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ดังนี้
2560 298.33 ล้านบาท กำไร 34.22 ล้านบาท
2561 290.92 ล้านบาท กำไร 33.46 ล้านบาท
2562 264.71 ล้านบาท กำไร 31.85 ล้านบาท

ส่วนบริษัทเอเชียออยล์ จำกัด เป็นบริษัทที่จัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์ไดเกียว และหัวเชื้อน้ำมันเครื่องแบรนด์บาร์เดอล์ จดทะเบียนในชื่อของ
ถกล ติงธนาธิกุล
จุฬาภรณ์ ชูสร้อยปิ่น
สมภพ ติงธนาธิกุล
นิธิภา ติงธนาธิกุล
บริษัท เอเชียออยล์มีรายได้ย้อนหลัง 3 ปีดังนี้
2560 447.98 ล้านบาท กำไร 61.44 ล้านบาท
2561 408.88 ล้านบาท กำไร 51.17 ล้านบาท
2562 389.93 ล้านบาท กำไร 57.84 ล้านบาท
จะเห็นว่าแม้คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเห็นแบรนด์ไดเกียวในร้านขายน้ำมันหล่อลื่นเท่าไรนัก แต่สำหรับรายได้แล้วถือว่ามีความน่าสนใจ และความท้าทายในธุรกิจยุคดิจิทัล
ความท้าทายในตลาดคือ
ในปัจจุบันตลาดน้ำมันหล่อลื่นเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันสูง จากคู่แข่งรายใหญ่ทั้งพีทีที เชลล์ คาสตอล และอื่น ๆ รวมถึงความนิยมของผู้ขับรถรุ่นใหม่ ๆ ที่นิยมเปลี่ยนน้ำมันเครื่องในศูนย์บริการรถยนต์ที่เป็นแบรนด์ของค่ายรถยนต์
ทำให้โอกาสในการขายสินค้าของไดเกียวมีน้อยลงจากการแข่งขันที่สูง
โดยแบรนด์ไดเกียวเป็นแบรนด์ที่ไม่มีมูฟเมนต์ใหม่ ๆ ที่เป็นสีสันหวือหวาเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ มากนัก จากการวางตัวเองเป็นแบรนด์ของผู้ใช้ในกลุ่ม Entry Level เน้นไปยังรถเก่า ทั้งรถมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ ซึ่งในแต่ละปีมีรถเก่าและรถมอเตอร์ไซค์เก่าหายไปจากตลาดและมีรถรุ่นใหม่ ๆ เข้ามาแทน และบางครั้งผู้ใช้รถรุ่นใหม่อาจจะมองน้ำมันหล่อลื่นแบรนด์อื่นที่เคยใช้มาก่อนหน้านั้นแทนไดเกียว
นอกจากนี้ ความท้าทายของ ไดเกียว อีกประการหนึ่งคือ การกระจายสินค้าที่มีอยู่จำกัด ทำให้เกิดการซื้อหาสินค้าได้ไม่สะดวกเท่าแบรนด์อื่น ๆ ที่มีช่องทางการจำหน่ายที่ครอบคลุมกว่า
แต่ความน่าสนใจคือ การใช้โฆษณาตัวเดิมถึง 25 ปียังสามารถสร้างยอดจำหน่ายได้ถึง 200 กว่าล้าน
อย่างที่กล่าวไปว่าการตลาดของ ไดเกียว เน้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่ม Entry Level เป็นส่วนใหญ่
ปัจจุบันไดเกียวยังคงทำตลาดและโฆษณาอยู่ โดยใช้โฆษณาเดิม กับวลีเดิม ๆ ต้น ต้น รถเป็นอะไร สลับหมุนเวียนกับโฆษณาอื่น ๆ ที่มีความเก่าเช่นเดียวกัน
การที่ไดเกียวเลือกโฆษณาตามช่องมวยมาจากมวยเป็นรายการที่กลุ่มเป้าหมายนิยมดู โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายต่างจังหวัด
Marketeer มองว่าการใช้โฆษณาเดิมมานานกว่า 25 ปีในมุมของนักการตลาดอาจจะมองว่าไม่สามารถเรียกความสนใจของกลุ่มผู้บริโภคได้มากนัก เพราะผู้บริโภคเห็นโฆษณาเดิมจนเกิดความเคยชินและรู้สึกไม่สนใจเมื่อเห็นโฆษณาครั้งต่อไป

แต่บางครั้งการทำตลาดผ่านโฆษณาตัวเดิมซ้ำ ๆ ก็มีจุดที่น่าสนใจคือ
1. สร้างการรับรู้กับผู้บริโภคในรูปแบบ ย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ จนเกิดการรับรู้โดยอัตโนมัติว่าคือโฆษณาอะไร เมื่อได้เห็นโฆษณา หรือได้ยินเสียงโฆษณาที่เห็นหรือได้ยินเพียงสั้น ๆ
และการที่เห็นซ้ำ ๆ จนเคยชินในโฆษณาที่มีวลีติดหู หรือน่าสนใจ ทำให้ผู้บริโภคนำวลีเหล่านั้นไปพูดต่อ หรือใช้เป็นมีมนำมาล้อเลียนในแบบต่าง ๆ ทำให้แบรนด์สามารถขยายการรับรู้ใหม่ ๆ ผ่านผู้บริโภคไปยังผู้บริโภคในรูปแบบ Earn Media ที่ผู้บริโภคเป็นผู้โฆษณาแบรนด์ให้ฟรี ๆ โดยไม่ต้องเสียเงินในการโปรโมต
นอกจากนี้ ในมุมของคนรุ่นใหม่ ภาพโฆษณาที่มีความเก่า โปรดักชั่นที่ทำมาในอดีต เป็นการดึงความสนใจคนรุ่นใหม่ ที่ไม่เคยเห็นโฆษณาเหล่านี้มาก่อนให้หยุดดู เพราะความสงสัยได้อีกเช่นกัน
2. ประหยัดงบประมาณในการถ่ายทำโฆษณาเพื่อนำมาเป็นค่า Airtime ลงโฆษณาตัวเอง โดยส่วนใหญ่แล้วการนำโฆษณาเดิม ๆ มารีรันโฆษณา ครั้งแล้วครั้งเล่าในทุกยุคทุกสมัยเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณา เนื่องจากแบรนด์มีงบประมาณไม่มากนักในการทำตลาด
ทั้งนี้ แม้เหตุผลของไดเกียวเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ คือโฆษณาไดเกียวสร้างการจดจำเป็นอย่างดี และใช้อย่างต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ไม่เชื่อลองเปิดรายการมวยดูสิ
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
