กลายเป็นกระแสของสังคมในวงกว้างไปแล้ว เมื่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ออกมาประกาศว่า ผลการวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพบว่า การจะดำรงชีวิตแค่พอเพียงในวัยเกษียณต่อไปอีก 20 ปีจะต้องมีเงินเกือบ 3 ล้านบาทเลยทีเดียว
แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น คือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพในประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งเงินออมหลังเกษียณที่สำคัญของเหล่ามนุษย์เงินเดือน สมาชิกเกือบ 50% มีเงินก้อนในวันเกษียณไม่ถึง 1 ล้านบาท!!!
จึงเป็นที่มาที่ทำให้ ก.ล.ต. ริเริ่มจัดงาน SEC Retirement Savings Symposium 2017 เพื่อกระตุ้นให้นายจ้างและลูกจ้างตระหนักถึงปัญหาเรื่องเงินที่จะต้องเป็นค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ และเห็นความสำคัญของการออมและการลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะการออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพราะการเกษียณนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ควรคิดตั้งแต่สมัยเริ่มต้นทำงานมากกว่าจะมาคิดเมื่อใกล้เกษียณ ซึ่งจะช้าเกินไป
โดยทีม Marketeer เราได้เข้าไปเก็บเกี่ยวความรู้ในงานครั้งนี้ และมั่นใจว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านของเรา โดยเฉพาะทั้งผู้ประกอบการเจ้าของบริษัท ตลอดจนลูกจ้างพนักงานทุกคน

นายจ้างและลูกจ้างต้องให้ความสำคัญกับการออมมากกว่านี้
เรื่องนี้นับเป็นปัญหาระดับมหภาค เพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งก็คือปี 2568 ที่ 20% ของแรงงานในระบบภาคเอกชนจะมีอายุมากกว่า 60 ปี จากข้อมูลล่าสุดชี้ว่าการออมเพื่อวัยเกษียณของคนไทยดูยังน่าเป็นห่วง ซึ่งปัญหาหลัก ได้แก่
- ปัญหานายจ้างภาคเอกชนในปัจจุบัน มีจำนวนบริษัทที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ราว 17,000 บริษัท ซึ่งคิดเป็นจำนวนเพียง 3% ของนายจ้างภาคเอกชนทั้งหมด โดยในจำนวนนายจ้างดังกล่าว มีจำนวนลูกจ้างที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่เพียง 3 ล้านคน หรือคิดเป็น 21% ของลูกจ้างในระบบเอกชน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างต่ำ
- การที่ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ใส่เงินไม่พอเพื่อที่จะใช้จ่ายยามเกษียณ โดยข้อมูลล่าสุดพบว่าอัตราการส่งเงินสะสมเข้ากองทุนผ่านทั้งลูกจ้างและนายจ้าง มีค่าเฉลี่ยอยู่เพียง 4-5% เท่านั้น ซึ่งระดับดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในวัยเกษียณ จากระดับที่เพียงพอควรจะอยู่ที่ 15-20%
- เงินออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพส่วนใหญ่ หรือมากกว่า 80% ไปลงทุนอยู่กับตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ในขณะที่การลงทุนในหุ้น ซึ่งมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า มีอยู่เพียง 16% เท่านั้น


จากปัญหาหลักทั้ง 3 ข้อข้างต้น สรุปได้ว่าคนไทยออมเงินน้อย และขาดความรู้เรื่องการลงทุน ซึ่งเป็นที่มาของความเสี่ยงที่คนไทยส่วนใหญ่จะมีเงินไม่พอใช้ในวัยเกษียณ
ดังนั้นหนึ่งในจุดเริ่มต้นทางออกที่สำคัญ คือ นายจ้างควรจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้กับลูกจ้างเพิ่มมากขึ้น พร้อมเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายให้กับลูกจ้างด้วย โดยไม่จำกัดเพียงการลงทุนความเสี่ยงต่ำ หรือ ตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว ส่วนสมาชิกที่เป็นลูกจ้างก็ต้องทำความเข้าใจว่า เงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่เก็บไว้ใช้ในวัยเกษียณ ซึ่งจะต้องรู้จักบริหารจัดการเงินให้เป็น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง รู้จักการคำนวณว่าควรต้องมีเงินเท่าไหร่หลังเกษียณ

และสาระสำคัญที่บริษัทควรจัดทำกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือ เป็นสิ่งแสดงน้ำใจต่อพนักงาน สร้างความเชื่อมั่นเรื่องความมั่นคง และเป็นการดูแลให้รู้จักอดออม และพอเพียงนั่นเอง

ลดภาษีด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ข้อดีของการมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ทั้งนายจ้างและลูกจ้างมีโอกาสได้รับการเอื้อประโยชน์เรื่องภาษีถึง 3 ต่อ ต่อแรกคือ นายจ้างสามารถนำเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่จ่ายให้ลูกจ้างไปคำนวณรวมเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีได้ ในขณะที่ลูกจ้างสามารถนำเงินสะสมไปลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน ต่อที่สอง ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจากการลงทุนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะไม่ถูกเก็บภาษี และต่อที่สาม เมื่อลูกจ้างอายุครบ 55 ปี และเป็นสมาชิกกองทุนต่อเนื่องมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในกรณีที่นำเงินออกจากกองทุน ซึ่งตรงนี้เป็นประเด็นที่ไม่ค่อยมีใครนึกถึงเท่าไหร่นักในช่วงที่เป็นวัยทำงาน

การวางแผนการเงินสำหรับคนทำงาน
การใช้เงินในชีวิตประจำวันนั้น นอกจากรายรับที่ได้มาแล้วจ่ายออกไปนั้น เราควรเก็บออม และมีเงินทุนสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉินขั้นต่ำ 6 เดือน นอกจากนี้ ยังต้องวางแผนเกษียณรวย ในการออมเงินโดยวิธีอื่นๆ เพื่อให้ได้เงินออมที่มากขึ้น อาทิ การลงทุนในกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเน็จบำนาญข้าราชการ เป็นต้น หรือถ้าอยากเกษียณเร็วขึ้น จะต้องลงทุนเพิ่ม เช่น อสังหาริมทรัพย์ การทำธุรกิจ หุ้น ฯลฯ โดยต้องศึกษาอย่างรอบคอบ เพื่อที่การลงทุนเหล่านั้นจะเป็นแหล่งสร้างรายได้หลังเกษียณได้ในอีกทางหนึ่ง

จักรพงษ์ เมษพันธ์ The Money Coach นักเขียน นักพูดคนดัง ได้ให้แนวคิด Money Fitnessที่น่าสนใจ 1.มีสภาพคล่องในการใช้เงิน คือ ต้องบริหารเงินในแต่ละเดือนให้พอจ่าย มีกิน มีใช้ และมีเหลือเก็บได้อย่างน้อย 10% ทุกเดือน 2.ปลอดหนี้จน คือ ต้องไม่มีหนี้บริโภค เช่น หนี้บัตรเครดิต ค้างชำระ หรือ ไม่ต้องจ่ายขั้นต่ำ และมีหนี้บ้าน และรถยนต์ในระดับที่บริหารจัดการได้ 3.พร้อมชนความเสี่ยง คือ ต้องทราบความจำเป็นของตัวเองต้องมีประกันชีวิตหรือไม่ มีทุนประกันชีวิตครอบคลุมความเสี่ยงหากเกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร หรือป้องกันความเสี่ยงการเจ็บป่วย และอุบัติเหตุไว้อย่างเพียงพอ และมีการจัดการความเสี่ยงกับทรัพย์สินต่างๆ ไว้เป็นอย่างดี 4.สอดคล้องเกณฑ์ภาษี คือ การวางแผนภาษีของตัวเองได้ และใช้สิทธิค่าใช้จ่าย และลดหย่อนได้อย่างถูกต้อง 5.บั้นปลายชีวิตมีทุนเกษียณ คือ ต้องมีการวางแผนชีวิตในการเตรียมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ และต้องวางแผนการออมและการลงทุนสำหรับการเกษียณไว้ให้พร้อม
ทั้งหมดคือความรู้เบื้องต้นจากการสัมมนา สำหรับรากฐานที่ดี คือการมีวินัยทางการเงิน และมีความรู้ทางด้านการเงิน รวมถึงมีความรับผิดชอบ เป็นคุณสมบัติของผู้ประสบควมสำเร็จทางการเงิน
นอกจากนั้นยังต้องรู้จักวิธีการบริหารความเสี่ยง สามารถจัดการความเสี่ยงทางการเงิน วางแผนเกษียณรวย และวางแผนเกษียณเร็ว ด้วยหลักคิด และแนวทางบริหารเงินส่วนบุคคล
อย่าลืมว่ารากฐานของความมั่งคั่ง คือการวางแผนอนาคตให้รัดกุมที่สุด และนี่เป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำตั้งแต่วันนี้…
