ตลอดเวลาที่ผ่านมารายได้ของบริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นหลัก
ยอดขายในร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ขายกลุ่มทัวร์จีนเกือบ 90%
ปี 2563 เถ้าแก่น้อยเคยวางแผนบุกแหลกตลาดในประเทศจีน แต่ในที่สุดวิกฤต Covid-19 ก็เกิดขึ้น
วิกฤตโควิดทำให้ยอดขายจากนักท่องเที่ยวลดลงกว่า 500-600 ล้านบาทต่อปี
ในขณะที่ตลาดต่างประเทศมีรายได้หดตัวลงจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในท้องถิ่นที่ลดลง
ประกอบกับเมื่อวันที่ 20-22 ม.ค. 64 มีการขายหุ้นออกมาของครอบครัว พีระเดชาพันธ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ TKN รวม 11.75 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 0.85% มูลค่ารวมราว 138 ล้านบาท
เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดข่าวลือการขายกิจการมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลประกอบการปี 2563 ที่ผ่านมา เถ้าแก่น้อยมียอดขายที่ 3,999 ล้านบาท กำไร 243 ล้าน ในขณะที่ปี 62 มียอดขายที่ 5,296 ล้าน กำไร 366 ล้านบาท
“ต๊อบ” อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง เคยบอกอย่างมั่นใจว่า ปี 2564 ต้องค่อย ๆ ดีขึ้น
แต่เมื่อเจอกับโควิดรอบ 3
ผลก็คืองบ Q1/2564 มีกำไร 56 ล้านบาท ลดลง 34% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ข่าวลือเลยไม่จบ ต้องรีบออกข่าวมายืนยันอีกครั้งว่าไม่คิดที่จะขายกิจการอย่างแน่นอน
แต่เขาไม่ปฏิเสธว่า มีบริษัทที่อยู่ระหว่างพูดคุยอยู่บ้าง ซึ่งมองว่าเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโตแบบ Inorganic Growth เพื่อต่อยอดไปสู่จุดหมายให้เร็วมากยิ่งขึ้น ผ่านการทำ Joint Venture
ส่วนการขายหุ้นแบบบิ๊กล็อตในช่วงที่ผ่านมาเพื่อบริหารสภาพคล่องทางการเงิน ไม่เกี่ยวข้องกับการขายกิจการแต่อย่างใด และมั่นใจได้ว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ยังถือหุ้นมากกว่า 50% อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เขายังคาดว่าในครึ่งปีหลังของปีนี้ สถานการณ์จะค่อย ๆ ดีขึ้น
โดยกลยุทธ์ต่อไป คือลดการพึ่งพิงยอดขายจากนักท่องเที่ยว และหันมาจับกลุ่มลูกค้าท้องถิ่น รวมถึงขยายพอร์ตสินค้าใหม่ ๆ ที่นอกเหนือกลุ่มผลิตภัณฑ์สาหร่าย เพื่อส่งออกไปกว่า 40 ประเทศทั่วโลก
ปี 2552 ต๊อบทำยอดขายได้ 1,200 ล้านบาท กลายเป็นเถ้าแก่พันล้านในวัย 23-24 ปี
และเขายังหวังเป็นเถ้าแก่ 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2567 เหมือนเดิม
สำหรับรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ TKN 2 อันดับแรก ในวันนี้คือ บริษัท พีระเดชาพันธ์ โฮลดิ้ง 26.09% และอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ 22.99%
–
