เซ็นทรัลวิลเลจ ย้ำตำแหน่ง The First Real  Luxury Outlet  จับมือมิตซูบิชิ เอสเตท เตรียมเปิดเฟสสอง 28 ม.ค. 65 ชูจุดแข็ง ‘Two Nations, One Success’ โดย Central Pattana และ Mitsubishi Estate (Thailand) ลุยขยายฐานลูกค้าญี่ปุ่นทั้งทัวริสต์และ Expats 5 กลยุทธ์สร้างความสำเร็จตลอดกาล “ยอดขายดีต่อเนื่อง-แบรนด์ชั้นนำครบครัน-ฐานลูกค้ากำลังซื้อสูง-Intensive Omnichannel-สร้าง Vibes แบบเอาต์เล็ตเมืองนอก”

ชาติ จิราธิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา (จำกัด) มหาชน กล่าวว่า เซ็นทรัล วิลเลจ เป็นโครงการที่พลิกโฉมวงการรีเทลไทยด้วยการนำ Luxury Outlet ระดับโลกเข้ามาในประเทศไทยเป็นแห่งแรก เติมเต็ม New Retail Platform ที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยจากความสำเร็จในเฟสแรกที่เปิดให้บริการในเดือน ส.ค. 62 เราได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักช้อปทั้งไทยและต่างชาติมาโดยตลอด

ซึ่งเซ็นทรัล วิลเลจเฟส 1 นั้นอยู่ติดถนนบางนา-ตราด ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิเพียง 10 นาที เปิดให้ช้อปพร้อมดีลเด็ด ลด 30-70% ตลอดทั่งปี โดยช่วงล็อกดาวน์ เซ็นทรัล วิลเลจมียอดขายโตขึ้น 70% เตรียมนำ Success Model ต่อยอดในเฟสสอง เติมเต็มแบรนด์ชั้นนำครบทุก Tier ครบทุกไลฟ์สไตล์รวม 300 แบรนด์ ปักหมุดพร้อมเปิดให้บริการในวันที่ 28 มกราคม 2565

จับมือ Mitsubishi Estate ทุ่ม 5 พันล้านบาท หวังดึงคู่ค้าญี่ปุ่นในเฟสสอง

ในครั้งนี้ เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ร่วมทุนกับ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท (ไทยแลนด์) หนึ่งในบิ๊กอสังหาฯ ระดับโลก เพื่อประกาศความสำเร็จของเซ็นทรัล วิลเลจ ยืนหยัด ‘The First Real Luxury Outlet in Thailand’ เบอร์หนึ่งลักชูรีเอาต์เล็ตระดับโลกที่สมบูรณ์แบบแห่งแรกของไทย รวมมูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท สู่การเป็นไลฟ์สไตล์เดสทิเนชั่นที่สมบูรณ์แบบ เจาะฐานลูกค้ากำลังซื้อสูงทั่วประเทศด้วย Luxury Outlet Chat & Shop ที่สร้างปรากฏการณ์ยอดขายออนไลน์เติบโตเป็นอันดับหนึ่งของโครงการเซ็นทรัลพัฒนาทั่วประเทศ

โมฮิโกะ เองูจิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “โครงการเซ็นทรัล วิลเลจ เป็นหนึ่งในการบุกเบิกพอร์ตโฟลิโอใหม่ของบริษัทฯ ที่ได้รุกตลาดลักชูรีเอาต์เล็ตครั้งแรกในประเทศไทยและ SEA ซึ่งการผนึกกำลังกันระหว่างมิตซูบิชิฯ และเซ็นทรัลพัฒนา ในแบบ ‘Two Nations, One Success’ ได้พิสูจน์แล้วถึงความสำเร็จของเซ็นทรัล วิลเลจ ในเฟสแรก

สำหรับการขยายโครงการเฟสสอง มิตซูบิชิฯ เตรียมแผนที่จะดึงดูดแบรนด์คู่ค้าญี่ปุ่นมากขึ้น ที่มาพร้อมด้วยจุดเด่นของการให้บริการแบบญี่ปุ่นที่เหนือความคาดหมายเสมอ เพื่อมอบทั้งความสนุกและความสะดวกสบายในการช้อปปิ้งให้กับลูกค้าชาวไทยและชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กำลังกลับเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยอีกด้วย”

5 กลยุทธ์ปั้น ‘เซ็นทรัล วิลเลจ’ สำเร็จยืนหนึ่งตลอดกาล

1. ตัวจริง ยอดขายดี เติบโตต่อเนื่อง โดยมีความสำเร็จจากเฟสแรกในด้านยอดทราฟฟิกที่สูงในวันเปิดตัว มียอด Occupancy Rate 99% มาตลอด และหลังคลายล็อกดาวน์มียอด Transaction เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 14% (เปรียบเทียบปี 2020 กับ 2021) ในเฟสสองมีกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้คู่ค้า ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยดึงดูด Traffic ซึ่งเป็นความสำเร็จในทุกโครงการ อย่างเซ็นทรัล ศรีราชา, เซ็นทรัล อยุธยา ที่เพิ่งเปิดให้บริการล่าสุด ก็มียอดทราฟฟิกที่ดีตั้งแต่วันแรก รวมไปถึงแผนธุรกิจที่จะช่วยให้คู่ค้า Tenants ขยายธุรกิจได้อย่างมั่นใจ กับ Flexible Leasing Programme ทั้งช่วยเหลือลดภาระผู้เช่า และโอกาสขยายธุรกิจสู่ทำเลศักยภาพคิดบวก

2. แบรนด์ชั้นนำ ครบทุก Tier ครบทุกไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่ Luxury brands ไปจนถึง Bridge Line ครบทุก Category รวมสองเฟสมีแบรนด์ชั้นนำ 300 แบรนด์ และเตรียมเพิ่มแบรนด์ใหม่ ๆ มาเติมเต็มความต้องการช้อปปิ้งของลูกค้าในเฟสที่สองอีกด้วย

3. ขยายฐานลูกค้ากำลังซื้อสูงอย่างต่อเนื่อง โดย 70% คือลูกค้ากรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงมีลูกค้าประจำที่อยู่รอบศูนย์ฯ มีโรงเรียนอินเตอร์, หมู่บ้านระดับกลางถึงไฮเอนด์ นอกจากนี้ เซ็นทรัล วิลเลจยังประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องในการสร้าง Lifestyle Communities ใหม่ ๆ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าหลากหลายกลุ่ม

4. เพิ่มช่องทางการขาย Intensive Omnichannel ทั่วประเทศ เพราะห้างฯ Outlet มีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นนักท่องเที่ยว เซ็นทรัล วิลเลจที่เพิ่งเปิดเมื่อปลายปี 2019 ได้ไม่กี่เดือน ต้นปี 2020 เจอปัญหาโควิดเข้าไปก็ถือว่าเดือดร้อนพอสมควร กลยุทธ์ที่เซ็นทรัล วิลเลจเลือกใช้ คือการทำการตลาดให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้จากหลากหลายช่องทาง (Intensive Omni-Chanel Marketing) เช่น ดันยอดขาย Online Shopping Platform ด้วยการทำ Live streaming ซึ่งมีผู้เข้าชมรวมแล้วกว่า 2 ล้านคน พร้อมทั้งดัน Luxury Outlet Chat & Shop On Demand สร้างความสะดวกให้กับลูกค้าด้วยบริการเดลิเวอรี่, ช้อปปิ้งออนไลน์, ซื้อสินค้าแบบ Drive-Thru 

และยังมี Unbeatable Advantage ของการมีศูนย์การค้าทั่วประเทศ เป็นจุดส่งต่อสินค้าให้บริการ Cross Border และมีแผนเจาะกลุ่มตลาดเอเชียและอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV และมาเลเซีย นอกจากจะเป็นการปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าแล้ว ยังช่วยสร้างยอดขายให้กับ Tenants ซึ่งนี่เองที่ทำให้เซ็นทรัล วิลเลจสร้างยอดขายออนไลน์เติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 145% จากไตรมาสที่ 4 ปี 2563 ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญเพื่อชดเชยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงมากจากการปิดประเทศ

5. สร้าง Festive Vibes ตลอดทั้งปี มอบประสบการณ์ที่มากกว่าการมาช้อปปิ้งเอาต์เล็ต ด้วยไฮไลต์ในเฟสสอง เช่น การเป็น Food destination รวมร้านอาหารดังไว้มากมาย, จุด Attraction landmark เช่น ลานน้ำพุขนาดใหญ่ ภายใต้การตกแต่งสถาปัตยกรรมแบบ Thai heritage เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ลูกค้าช้อปปิ้งได้อย่างร่มรื่น โดยในช่วงเทศกาลปลายปีเตรียมเนรมิตต้นคริสต์มาสยักษ์กลางลานน้ำพุ ตระการตากับการประดับไฟทั่วทั้งพื้นที่ สร้าง Festive Vibes ฉลองสิ้นปีไม่แพ้บรรยากาศเอาต์เล็ตเมืองนอก เพื่อส่งพลังความสุข Forwarding Happiness 2022 ให้กับทุกคน



ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online