การตลาดแบบเบ็ดเสร็จ บทความการตลาดโดย ดร. ธีรพันธ์ โล่ห์ทองคำ
เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มีการเกิดและพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ยังช่วยให้นักการตลาดมองเห็นแนวทางในการขยายตลาดและเพิ่มการขายสินค้า
สมัยก่อนเรามักจะได้ยินคำว่า B to B และ B to C เท่านั้น แต่ปัจจุบันมีรูปแบบการทำการตลาดในรูปแบบใหม่ที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เหล่านั้นมาใช้ ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก (Retail Business) ที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษ
โดยนักการตลาดเรียกรูปแบบนี้ว่า D to C ซึ่งการตลาดรูปแบบนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ก่อนอื่นผู้เขียนขออธิบายเปรียบเทียบความหมายที่แตกต่างกันของวิธีการทั้ง 3 รูปแบบ ดังนี้
รูปแบบ B to B (Business-to-Business) เป็นการทำธุรกิจระหว่างธุรกิจกับธุรกิจด้วยกัน เป็นการซื้อขายสินค้าระหว่างเจ้าของธุรกิจไปยังเจ้าของธุรกิจด้วยกันนั่นเอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนองตอบความจำเป็นในการประกอบการของธุรกิจ เช่น การซื้อวัตถุดิบที่ไม่ได้ซื้อมาเพื่ออุปโภคหรือบริโภคเอง แต่ซื้อมาเพื่อใช้ในการผลิตสินค้า
สำหรับรูปแบบ B to C (Business-to-Consumer) ซึ่งลูกค้าเป้าหมายซื้อสินค้าเพื่อนำไปอุปโภคหรือบริโภคเอง เป็นการซื้อขายระหว่างเจ้าของธุรกิจไปยังผู้บริโภค โดยผ่านพ่อค้าคนกลาง เอเยนต์ ร้านค้าส่ง หรือร้านค้าปลีก
ส่วนรูปแบบ D to C (Direct-to-Consumer) เป็นการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางเฉพาะที่ธุรกิจหรือแบรนด์นั้น ๆ จัดทำขึ้นมาเอง โดยมีกระบวนการจัดการตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เช่น การหาวัตถุดิบ การผลิตสินค้าใส่บรรจุภัณฑ์ บริการจัดส่งและรับชำระเงินเบ็ดเสร็จในตัว
ทั้งนี้อาจจะมีความสับสนหรือใกล้เคียงกับการขายตรง (Direct Selling) แต่ก็ไม่เหมือนกันเพราะการขายตรงนั้นยังมีตัวแทนหรือพนักงานขายทำหน้าที่เป็นคนกลางอีกทอดหนึ่ง และไม่ได้ทำการขายสินค้าผ่านช่องทางเฉพาะที่ธุรกิจหรือแบรนด์จัดทำขึ้นเท่านั้น อาจทำการจัดทำช่องทางการขายของตัวเองขึ้นมาอีกก็ได้ ในขณะที่การทำตลาดในรูปแบบ D to C นั้นจะทำธุรกิจผ่านช่องทางเฉพาะของแบรนด์เท่านั้น
โดยจะจัดการเบ็ดเสร็จในตัวอย่างครบวงจรเลย ซึ่ง การตลาดแบบเบ็ดเสร็จ มีจุดเด่นที่น่าสนใจ คือ
- มีโอกาสใกล้ชิดกับผู้บริโภคที่เป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งปกติแล้วธุรกิจหรือแบรนด์จะไม่มีโอกาสรู้จักหรือใกล้ชิดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของสินค้าเลย เนื่องจากลูกค้านั้นจะทำการซื้อสินค้าจากพ่อค้าคนกลางซึ่งเป็นลูกค้าของธุรกิจอีกทอดหนึ่ง แต่ถ้าธุรกิจทำการตลาดแบบนี้จะทำให้มีโอกาสรู้จักและใกล้ชิดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นผู้ที่นำสินค้าไปอุปโภคหรือบริโภคเองมากขึ้นกว่าเดิม
- เข้าใจความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี เมื่อมีการติดต่อซื้อขายสินค้ากันก็จะเข้าใจความต้องการหรือแม้กระทั่งพฤติกรรมของลูกค้าในการซื้อหรือใช้สินค้า หากธุรกิจเข้าใจความต้องการของลูกค้าของตัวเองก็จะส่งผลต่อการซื้อขายสินค้าในครั้งต่อไปในอนาคตนั่นเอง
- มีข้อมูลเชิงลึก (Customer Insight) ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย หากธุรกิจทำการตลาดในรูปแบบธุรกิจไปยังลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคสุดท้ายก็จะมีข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นทัศนคติ ความต้องการ ความคิดเห็นที่มีต่อสินค้าหรือแบรนด์ อันจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
- ธุรกิจสามารถควบคุมคุณภาพของสินค้าได้ เพราะทุกคนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายจัดซื้อวัตถุดิบ ฝ่ายผลิตสินค้า ฝ่ายบรรจุภัณฑ์ พนักงานขาย พนักงานจัดส่งสินค้า ล้วนเป็นพนักงานของธุรกิจ ซึ่งสามารถควบคุมกระบวนการตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง จึงสามารถควบคุมคุณภาพสินค้าได้
- เป็นการตัดปัญหายุ่งยากอันเกิดจากพ่อค้าคนกลาง ยิ่งถ้ามีหลายช่วงในการส่งมอบสินค้าจากโรงงานไปยังธุรกิจค้าส่งต่อไปยังธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ ส่งมอบสินค้าไปยังธุรกิจค้าปลีกรายย่อยก็อาจจะมีปัญหายุ่งยากตามมาในแต่ละช่วงของการส่งมอบสินค้า
- ธุรกิจและลูกค้าสามารถติดต่อกันได้โดยตรง เมื่อธุรกิจซึ่งเป็นเจ้าของสินค้าสามารถติดต่อกับลูกค้าซึ่งเป็นผู้บริโภคได้โดยตรง ก็จะเกิดความสะดวกไม่ต้องติดต่อหรือสอบถามผ่านพ่อค้าคนกลางในแต่ละช่วงนั่นเอง
- ลดขั้นตอนและเวลาในการส่งมอบสินค้าไปยังผู้บริโภคสุดท้าย ทำให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วในการส่งมอบสินค้าไปยังผู้บริโภคเป้าหมาย ไม่เกิดปัญหาให้ลูกค้าเสียเวลาในการรอรับสินค้าหลังจากตกลงซื้อขายสินค้ากันแล้ว
- ความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้าเป้าหมายมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ปกติแล้วธุรกิจจะไม่มีโอกาสมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกค้าเป้าหมาย เพราะความสัมพันธ์นี้จะเกิดขึ้นระหว่างพ่อค้าคนกลางกับลูกค้าเท่านั้น
- เป็นการลดต้นทุนทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายซื้อสินค้าได้ในราคาที่ต่ำลง เป็นที่ทราบกันดีว่าในแต่ละช่วงของพ่อค้าคนกลางก็จะมีค่าใช้จ่าย ทำให้เกิดการผลักภาระค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไปยังลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคสุดท้าย ทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าราคาสูงขึ้น
- ธุรกิจไม่มีข้อจำกัดตามที่พ่อค้าคนกลางกำหนดขึ้น บางทีร้านค้าปลีกก็จะมีข้อจำกัด เช่น ชั้นวางสินค้ามีไม่เพียงพอ เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการนำสินค้าเข้าร้าน ยืดเวลาการชำระเงิน ของบประมาณสนับสนุนในการส่งเสริมการตลาดจากธุรกิจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นข้อจำกัดที่ธุรกิจต้องยอมรับในการดำเนินธุรกิจกับพ่อค้าคนกลาง
ตรุษจีนปีนี้ขอให้ธุรกิจของทุกท่านเจริญก้าวหน้า ทำมาค้าขึ้น เงินไหลมากอง ทองไหลมาอย่างไม่ขาดสาย มีสุขภาพกายสุขภาพจิตที่ดี โชคดีตลอดปีนะครับ
ด้วยความปรารถนาดีจาก ดร. ธีรพันธ์ โล่ห์ทองคำ แล้วพบกับเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจในฉบับหน้านะครับ!
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



