The Rings of Power จากเรื่องสั้น 150 หน้าสู่ซีรีย์ทุนสร้างสูงสุดใต้ปีก Amazon
ช่วงต้น ๆ ยุค 2000 มีปรากฏการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นใน Hollywood ศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลก หลังค่ายหนังพากันส่งกลุ่มหนังภาคต่อออกมาเสิร์ฟคอหนัง โดยแนวทางหลักที่นำมาใช้กันคือหนังแบบเรื่องจบหรือไตรภาค
ซึ่งสองภาคหลังจะได้ไฟเขียวและถ่ายทำคู่กันไปหากภาคแรกประสบความสำเร็จ ซึ่ง The Lord of the Rings, The Matrix และ Star Wars (สามภาคต้นนับจากลำดับเรื่องราว) คือไตรภาคที่ดังสุด ณ ช่วงเวลานั้น
ในส่วนของ The Lord of the Rings ต้องเรียกว่าเป็นหนังระดับปรากฏการณ์ โดยนอกจากกวาดทั้งเงินและรางวัล ทำให้ Peter Jackson เปลี่ยนจากผู้กำกับโนเนมกลายเป็นเบอร์ใหญ่ในแวดวงภาพยนตร์
Peter Jackson
และทำให้มี The Hobbit ไตรภาคอีกชุดที่เน้นไปที่ Hobbit กลุ่มตัวละครสำคัญ ซึ่ง Peter Jackson กำกับเอง (ทั้ง 6 เรื่องทำเงินรวมกันมากถึง 6,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 220,000 ล้านบาท) ตามออกมาแล้ว ยังเป็นต้นแบบและชี้ทางให้ค่ายหนังเห็นว่า เรื่องในโลกจินตนาการที่มีพ่อมด มังกร และอัศวิน นั้นยังขายได้เสมอ
และยังข้ามไปสู่แวดวงโทรทัศน์ก่อนยุค Video Streaming ทำให้ HBO เปิดไฟเขียวสร้าง Game of Thrones ที่เล่าเรื่องจากโลกในจินตนาการใบเดียวกัน แต่มืดหม่น โหดร้ายและรุนแรงกว่าออกมา
อีกประเด็นที่หากไม่กล่าวถึงจะถือว่าเป็นการตกหล่นคือ ตัว The Lord of the Rings นิยายมหาภาพย์ต้นฉบับที่แต่งโดย J.R. Tolkien เพราะยังมีเรื่องราวอีกมากที่ยังไม่ได้ถูกนำมาปลุกให้มีชีวิตเป็นคอนเทนต์รูปแบบต่าง ๆ นี่เองทำให้คอนเทนต์จากนิยายเรื่องนี้ถูกจับมองเสมอเมื่อมีข่าวความเคลื่อนไหวปรากฏออกมา
ปี 2017 ขณะที่จักรวาลคอนเทนต์จากตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ของ Marvel เดินทางมาถึงจุดจบของช่วงแรกด้วย Infinity War และ Game of Thrones เดินทางมาถึงซีซั่น 6 จนแฟน ๆ อารมณ์ค้าง อยากเร่งวันเร่งคืนให้ถึงเวลาฉายของดูซีซั่นสุดท้ายเร็ว ๆ
ส่วน Netflix ก็กำลังสร้างชื่อจาก Strange Things ซีรีส์แก๊งเด็กสืบเรื่องลึกลับ แต่ Amazon ก็เป็นศูนย์กลางใหญ่ในอุตสาหกรรมบันเทิงปีนั้น ด้วยการกล้าทุ่ม 250 ล้านดอลลาร์ (ราว 9,100 บาท) คว้าสิทธิ์สร้างซีรีส์จาก The Rings of Power เรื่องสั้นภาคต้นยาว 150 หน้าของจากมหากาพย์ The Lord of the Rings
แซงคู่แข่งรายอื่น ๆ ในกลุ่ม Video Streaming ทั้ง Netflix และ HBO ที่ไม่มีรายไหนกล้ายื่นมากกว่าราคาประเมินที่ 200 ล้านดอลลาร์ (ราว 7,300 บาท)
ดีลดังกล่าว Amazon ถูกจับตามองมากยิ่งขึ้น เพราะ ณ เวลานั้นตลาด Video Streaming ยังไม่เฟื่องฟู และ Amazon Prime Video แพลตฟอร์ม Video Streaming ในเครือ Amazon ก็ยังล้มลุกคลุกคลาน
ท่ามกลางการรายงานว่า Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon ที่เป็นแฟน The Lord of the Rings ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนิยายสั่งการโดยตรงให้คว้าดีลนี้ให้ได้เพื่อนำมาเป็นจุดขาย เพิ่มยอดสมาชิกและผู้ชมของ Amazon Prime Video แต่ก็มีการปรามาสว่า Amazon จะทำเสียของหรือไม่
Jeff Bezos
ถัดจากนั้นก็มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวเนื่องต่าง ๆ ที่ทำให้โปรเจกต์นี้ของ Amazon ทวีความน่าสนใจ ทั้งจากการขยายตัวของตลาด Video Streaming จากสถานการณ์โควิด การเข้าสู่ตลาด Video Streaming ของ Disney ผ่าน Disney Plus ส่วน Amazon ก็เสริมทัพคอนเทนต์ด้วยการซื้อค่ายหนัง MGM ที่มี 007 ภาคต่อหนังสายเรื่องดังเป็นยอดเพชรยอดมงกุฎ
ส่วนตัวซีรีส์ The Rings of Power เองการถ่ายทำซีซั่นแรกในนิวซีแลนด์ก็เกิดสะดุดและเป็นไปอย่างยากลำบากจากสถานการณ์โควิด
อย่างไรก็ตาม ที่สุดกระบวนการผลิต The Rings of Power ซีซั่นแรกก็เสร็จสิ้น ท่ามกลางการรายงานว่าใช้งบเฉพาะซีซั่นแรกไปทั้งสิ้น 462 ล้านดอลลาร์ (ราว 17,000 ล้านบาท) และทั้ง 5 ซีซั่นน่าจะใช้งบรวม 1,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 36,700 ล้านบาท) เป็นอย่างน้อย นี่ทำให้ The Rings of Power เป็นซีรีส์ที่ทุนสร้างสูงสุดขณะนี้
ทุนสร้างมหาศาลดังกล่าวที่กระจายไปเป็นค่าตัวนักแสดง งานสร้าง ฉาก ชุดเกราะเสื้อผ้าและ CG ทำให้ The Rings of Power มีทุนสร้างเฉลี่ยเฉพาะซีซั่นแรก สูงถึง 60 ล้านดอลลาร์ (ราว 2,200 ล้านบาท) ทิ้งห่าง House of Dragon ภาคต้นของ Game of Thrones ซีรีส์คู่แข่ง ที่ใช้งบต่อตอน 20 ล้านดอลลาร์ (ราว 730 ล้านบาท) แบบไม่เห็นฝุ่น
์
และยังมากกว่าซีรีส Star Wars กับซีรีส์ กลุ่ม Marvel ของ Disney อีกด้วย ขณะเดียวกันงบระดับนี้ก็ถือเป็นกว่าครึ่งหนึ่งที่ Peter Jackson เลยทีเดียว
เหตุที่ Amazon Prime Video สามารถทุ่มหนักได้ขนาดนี้ เพราะมี Amazon ยักษ์ E-commerce หนุนหลังอยู่ และถ้าประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่ช่วยดันยอดสมาชิกและมีคอนเทนต์ระดับพรีเมียม เพื่อให้สู้กับ Netflix และ Disney Plus ได้สูสีขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไว้ขายในแพลตฟอร์มได้อีกด้วย
Amazon หวังกับ The Rings of Power ไว้มาก เพราะมีความดังของ The Lord of the Rings เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับการทุ่มก้อนใหญ่ซื้อค่ายหนัง MGM มาก่อนหน้านี้
J.D. Payne กับ Patrick Mckay
และเชื่อว่าคู่หูผู้สร้างอย่าง J.D. Payne กับ Patrick Mckay ที่เพิ่งขึ้นมารับงานใหญ่ น่าจะเสกให้เรื่องสั้นเพียง 150 หน้านี้ขึ้นมามีชีวิตได้ แม้คู่แข่งคือ House of Dragon ก็ตาม
เราจะเห็นกันช่วง 3 เดือนนี้ว่า The Rings of Power หรือ House of Dragon จะปังกว่ากัน โดย House of Dragon ปล่อย 2 ตอนแรกออกมาให้ดูกันแล้ว ส่วน The Rings of Power จะเปิดตัวตอนแรกกันยายนนี้
ประกอบกับทั้ง 2 เรื่องมีจำนวนตอนไล่เลี่ยกัน โดย House of Dragon มี 10 ตอน ส่วน The Rings of Power 8 ตอน ดังนั้นทั้ง 2 เรื่องจึงน่าถึงจุดพีกได้ในเวลาใกล้ ๆ กัน
การได้มาเป็นซีรีส์ของ The Rings of Power ยังเป็นการย้ำว่าเรื่องราวและตัวละครจาก The Lord of the Rings ยังขายได้และคงมีคอนเทนต์ให้ดูอีกไม่รู้จบ แบบเดียวกับคอนเทนต์จาก Star Wars และซูเปอร์ฮีโร่ ค่าย Marvel
หนึ่งในคอนเทนต์ The Lord of the Rings ที่จะตามมาคือ การ์ตูนอนิเมะ ในชื่อ The Lord of the Rings : The War of Rohhirrim ที่สร้างโดย Warner ที่มีคิวฉายไว้ปี 2024/theguardian, wikipedia, hollywoodreporter, cnet
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ