กระแส Slow Bar Coffee ยังมีให้เห็นอยู่เสมอ

ทั้ง Slow Bar Coffee ผ่านเครื่องชง Dripper, Moka Pot, รวมถึง Espresso Unplugged เครื่องทำกาแฟเอสเปรสโซแบบมือกดที่สกัดกาแฟเอสเปรสโซได้ไม่แตกต่างจากเครื่องทำกาแฟเอสเปรสโซแบบใช้ไฟฟ้า

ในตลาด Espresso Unplugged จะมีอยู่ด้วยกันหลากหลายแบรนด์ ทั้งแบบราคาพันต้น ๆ ไปจนถึงราคาหลักพันปลาย ๆ  ถึงหมื่นต้น ๆ ที่ดึงดูดคอกาแฟแนว Slow Bar และร้านกาแฟ Slow Bar ใช้เป็นเครื่องมือสกัดเอสเปรสโซ ดื่มและจำหน่ายเป็นกาแฟเอสเปรสโซแบบเพียว ๆ หรือปรุงเพิ่มเป็นเมนูต่าง ๆ อีกมากมาย

เพราะเอสเปรสโซเป็นกาแฟในรูปแบบช็อตที่มีความเข้มข้นสูง จากการสกัดกาแฟในความละเอียดที่พอเหมาะ นำเพียงเฉพาะหัวกาแฟผ่านแรงดันที่เหมาะสม และอุณหภูมิน้ำที่เหมาะสม เพื่อให้กาแฟออกมาในปริมาณที่พอเหมาะ ในเวลาที่เหมาะสม ให้ความเข้มข้น หอม หวาน และขมในตัว

โดยเอสเปรสโซที่ดีทางศัพท์กาแฟจะเรียกว่า เพอร์เฟคช็อต ที่สามารถสกัดกาแฟออกมาเป็น 3 ชั้น ประกอบด้วย Crema ชั้นโฟมครีมที่อยู่บนสุดของกาแฟ, Body เป็นชั้นกาแฟที่อยู่ตรงกลาง และ Heart ส่วนล่างสุดของกาแฟที่มีความเข้มสูงสุด

ซึ่งเครื่องทำเอสเปรสโซที่มีแรงดันที่ดีส่วนใหญ่ถ้าเป็นเครื่องแบบไฟฟ้าจะมีราคาที่สูงหลักหมื่นกลางถึงหลักแสนบาท

อาจเป็นราคาที่สูงไปกับการทำกาแฟดื่มเองที่บ้าน และพกพาไปทำดื่มนอกสถานที่ได้ยาก จากขนาดเครื่องและต้องใช้ไฟฟ้าในการสร้างแรงกดและต้มน้ำให้มีอุณหภูมิที่เพียงพอเพื่อสกัดกาแฟ

ด้วย Pain Point ของเครื่องทำเอสเปรสโซแบบไฟฟ้าทำให้มีผู้คิดเครื่องสกัดเอสเปรสโซแบบอื่น ๆ ที่ไม่ใช้ไฟฟ้า หรือเรียกว่า Espresso Unplugged ซึ่งในปัจจุบันมีหลากแบรนด์ และความแตกต่างในการกดแรงดันเพื่อสกัดกาแฟ

ยกตัวอย่างเช่น  

ROK Espresso แบรนด์ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเหมือนผู้บุกเบิกเครื่องทำ Espresso Unplugged ที่ใช้แรงมือสร้างแรงดันเพื่อสกัดกาแฟเอสเปรสโซ

ต้นกำเนิดของ ROK Espresso มาจากไอเดียของ Patrick Hunt ชาวลอนดอนที่หลงใหลในกาแฟ มีไอเดียที่จะทำเครื่องสกัดกาแฟด้วยแรงมือที่ให้นักดื่มกาแฟสามารถทำกาแฟดื่มที่บ้านเองได้ และลงมือร่างแบบขึ้นมาในปี 1999

และเรียกชื่อเครื่องสกัดกาแฟเครื่องนี้ว่า Presso ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นชื่อ Rok Espresso ในปี 2013

แต่กว่าจะผ่านพ้นกระบวนการพัฒนาผลิตสินค้าใช้เวลาที่ค่อนข้างนานพอสมควรเพราะไอเดียนี้ถือเป็นของใหม่ในตลาด Presso ถูกส่งถึงมือลูกค้าเครื่องแรกในปี 2004 หรือ 5 ปีหลังจากแบบแรก

จุดเด่นของ Rok Espresso เป็นการใช้แรงมือและแขนกดคันโยก 2 คันซ้ายและขวาแทนแรงดันจากเครื่องเอสเปรสโซแบบไฟฟ้า เพื่อนำอากาศดันน้ำร้อนที่อยู่บนกระบอกด้านบนไหลอัดลงไปในผงกาแฟที่บรรจุอยู่ใน Portafilter หรือด้ามชงกาแฟที่ใส่อยู่ด้านล่างเพื่อสกัดเป็นกาแฟเอสเปรสโซที่สมบูรณ์ออกมา

ในปัจจุบันนอกจากจากเครื่องสกัดเอสเปรสโซแล้ว Rok Espresso ยังแตกไลน์สินค้าด้านกาแฟออกมารองรับความต้องการของตลาด ทั้งเครื่องบดเมล็ดกาแฟ และดริปเปอร์กาแฟอีกด้วย

Flair แบรนด์ Espresso Unplugged ที่ถูกหยิบยกมาเปรียบเทียบกับ Rok Espresso อยู่เสมอ

Flair มีต้นกำเนิดจาก Sergio Landau วิศวกรชาวอเมริกันที่มีไอเดียทำเครื่องสกัดเอสเปรสโซด้วยแรงกดมือออกมา

และได้ระดมทุนในเว็บไซต์ Kickstarter แพลตฟอร์มระดมทุนระดับโลกในปี 2016 ก่อนที่จะพัฒนาออกมาเป็นสินค้าทำตลาดในปี 2017

สิ่งที่ทำให้ Flair ได้รับความสนใจจากผู้คนใน Kickstarter เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากจุดเด่นของ Flair ที่แตกต่างจากเครื่อง Rok Espresso ทั้งด้านดีไซน์ รูปแบบแรงดัน และอื่น ๆ

ดีไซน์ของ Flair มีคันกดแรงดันเพียง 1 ก้าน รูปทรงคล้ายกับที่คั้นน้ำส้ม และใช้แรงกดของมือดันน้ำร้อนที่บรรจุอยู่ในกระบอกขนาดเล็กลงไปยังผงกาแฟ เพื่อสกัดออกมาเป็นกาแฟเอสเปรสโซจำนวน 1 ช็อต

และตัวเครื่องของ Flair สามารถถอดออกจากกันบรรจุลงกระเป๋าเพื่อพกพาสะดวกยิ่งขึ้น

ในปัจจุบัน Flair มีการพัฒนาไปมากถึง 3 โมเดลหลัก และมีการเพิ่มระบบไฟฟ้าเข้ามาควบคุมอุณหภูมิความร้อนของน้ำและกระบอกเพื่อความสะดวกยิ่งขึ้นด้วย

รวมถึงต่อยอดไปยังเครื่องบดมือแบบพกพาเพื่ออุดช่องว่างที่ตัวเองมีอยู่อีกด้วย

Cafelat Robot ที่มีรูปทรงคล้ายหุ่นยนต์ เป็น Espresso Unplugged ที่มีต้นกำเนิดจาก Paul Pratt บาริสต้าฮ่องกงที่มาเปิดร้านกาแฟและอุปกรณ์กาแฟ ที่เริ่มต้นพัฒนา Cafelat Robot 2015 และเริ่มทำตลาด 2018

Cafelat Robot มีหลักการสร้างแรงดันด้วยคันโยก 2 ข้างคล้ายกับ Rok Espresso แต่ต่างกันคือ Cafelat Robot จะใส่ผงกาแฟและน้ำร้อนในกระบอกเดียวกัน เพื่อลดข้อผิดพลาดในการสกัดเอสเปรสโซและมีน้ำทะลักออกมาด้านข้าง Portafilter หรือด้ามชงกาแฟในกรณีที่ใส่ไม่แน่น หรือยางในตัวเครื่องซีลไม่สนิท เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้หลงรัก Espresso Unplugged

เพราะเครื่องชงเอสเปรสโซเป็นเครื่องที่สำคัญที่สุดในการสกัดกาแฟเพื่อนำมาปรุงเป็นเมนูกาแฟต่าง ๆ ในตลาดโลกเครื่องชง Espresso มีมูลค่า 3,350.7 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา เติบโตเฉลี่ยอย่างต่อเนื่อง 4.2%           

และคาดการณ์ว่าในปี 2030 จะมีมูลค่าสูงถึง 4,460.7 ล้านดอลลาร์ อ้างอิงจาก Stats Market Research และ Espresso Unplugged ที่มีจุดเริ่มต้นจากไอเดียที่ต้องการลบ Pain Point ผู้บริโภคในเครื่องชงเอสเปรสโซแบบไฟฟ้า เป็นตลาดเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งอยู่ในนั้น


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer