มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้ จึงต้องช่วยเหลือและถ้อยทีถ้อยอาศัยเกื้อกูลกัน โดยการรวมกลุ่มดังกล่าวมีหลายระดับ ตั้งครอบครัว เพื่อนฝูง บริษัท กลุ่มผู้มีความสนใจอย่างเดียวกันไปจนกระทั่งเมืองหรือประเทศ
การเห็นแก่ส่วนรวมเป็นสิ่งพึงกระทำ และการเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งควรหลีกเลี่ยง อย่างไรก็ตามทุกอย่างมีทั้งข้อดีข้อเสีย ขึ้นอยู่กับมุมมองและการบริหารจัดการ เช่น การเห็นแก่ตัวที่ก็ไม่แย่ไปเสียทั้งหมด
เพราะถ้าช่วยเหลือผู้อื่นแต่พอดี เราก็ไม่จะถูกเอาเปรียบแถมยังมีเวลามาทำงานของตัวเองด้วย และการหันมาใส่ใจตัวเอง เท่ากับเราเห็นคุณค่าของตัวเอง หรือ Healthy selfish

Healthy selfish ไม่ใช่การเห็นแก่ตัว แต่เป็นการกล้าพูดว่าไม่เพื่อปลดแอกตัวเอง ปิดทางไม่ให้ใครมาเอาเปรียบ สกัดกั้นไม่ให้คนใจร้ายใช้ความหวังดีของเราเป็นเครื่องมือ
และตีกรอบบอกคนรอบตัวให้ชัดว่า เราสามารถช่วยหรือเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อส่วนรวมได้มากแค่ไหน เช่น หากในบริษัทมีกิจกรรมต้องไปทำร่วมกันแต่คุณไม่สามารถไปได้จริง ๆ ก็บอกไปตรง ๆ
และถ้าใน Line ห้องเรียนลูกมีกิจกรรมต้องไปร่วม แต่คุณต้องทำสองกะหรือหลายงานเพื่อจุนเจือครอบครัวจนไม่ว่าง ก็ให้แจ้งใน Line ไป

Healthy selfish ยังสามารถใช้ได้เมื่อคุณรู้สึกหมดไฟมาก ๆ อยากให้เวลากับตัวเองบ้าง และคลายเครียด แต่ก็ไม่ควรทำบ่อยเกินไปจนถูกมองว่าอู้งาน
ขณะที่ประโยชน์ก็มีมากมาย เช่น ให้คนใกล้ตัวได้รู้ขอบเขตว่าขอความช่วยเหลือได้แค่ไหน ทำให้มีเวลาจัดลำดับความสำคัญ ได้หันมาเคารพตัวเอง มีเวลาได้คิดพิจารณาถึงความต้องการของตัวเองและผู้อื่น
อแมนด้า เมเจอร์ กูรูด้านความสัมพันธ์กล่าวว่า แรก ๆ เราอาจรู้สึกว่า Healthy selfish นั้นขัดต่อวิถีปฏิบัติทั่วไปในการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่หากทำได้คนรอบตัวก็รู้ว่าเรามีกรอบหรือเส้นที่ไม่ควรข้ามมา และแตกต่างจากคนอื่น ๆ

จากนั้นถ้าใช้ Healthy selfish เป็น เราก็จะไม่ “ได้ครับ” “ได้ค่ะ” และ “ได้สิ” พร่ำเพรื่อจนตัวเองต้องลำบาก แบบเข้าข่ายเอ็นดูเขาเอ็นเราขาด กล้าลดระดับหรือตัดความสัมพันธ์กับคนที่เป็นพิษ

สามารถให้และรับ (Give and Take) ได้อย่างเหมาะสม จนท้ายที่สุดเครียดน้อยลง งานไม่ล้นมือ มีอำนาจตัดสินใจชีวิตตัวเองมากขึ้น และมีความสุขยิ่งขึ้น/theguardian, happiful
–
