เศรษฐกิจอินเดีย แข็งแกร่งแค่ไหน ภายใต้การนำของ นเรนทรา โมดี

ไม่ดีเปรี้ยงปร้าง แต่ก็ไม่ตกต่ำใจหาย” นี่คือคำนิยามสั้น ๆ ที่สื่อมอบให้กับเศรษฐกิจของอินเดียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าในอดีตอินเดียไม่ได้เป็นชาติที่ทั่วโลกจับตามองเท่าไหร่ ถึงแม้จะมีประชากรมากแต่ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศอินเดียกลับมีฐานะยากจน และพึ่งพาอาชีพเกษตรกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของชาติ

แต่กับปัจจุบันไม่ใช่ อินเดียก้าวขึ้นมามีบทบาทในเวทีโลกมากขึ้นในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจหน้าใหม่ โดยผู้นำของอินเดียตั้งใจที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตและก้าวหหน้าด้วย “อุตสาหกรรมการผลิต” และ “เทคโนโลยี” ดังจะเห็นได้จากอินเดียทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีในการต้อนรับกระแสเงินทุนและสหวิทยาการจากต่างประเทศ

และคนคนหนึ่งที่มีบทบาทอย่างมากในการปฏิรูปเศรษฐกิจของอินเดียให้มีระเบียบแบบแผนชัดเจน มีเป้าหมาย มีโรดแมป ก็คือนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ผู้กุมนโยบายที่มุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ลดความยากจน และส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และเนื่องในโอกาสที่อินเดียกำลังจะมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหญ่ในเดือนพฤษภาคม ปี 2024 สื่อต่างประเทศก็ได้มีการนำผลงานด้านเศรษฐกิจของนายกฯ โมดี มาดูว่าจะมีพลังพอที่จะทำให้เขาชนะการเลือกตั้งกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกสมัยหรือไม่

ชายชื่อ นเรนทรา โมดี

นาย นเราทรา โมดี นายกรัฐมนตรีคนที่ 14 ของอินเดีย: Bloomberg

นเรนทรา โมดี เกิดเมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2493 ที่เมืองวาดนาการ์ รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เป็นบุตรชายของดาโมดาร์ดาส โมดี พ่อค้าขายชา และฮีมา โมดี ซึ่งมีอาชีพเป็นแม่บ้าน เขาเติบโตในครอบครัวชาวฮินดูวาดู ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีแนวคิดชาตินิยมฮินดู โมดีเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมในวาดนาการ์ และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขารัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคุชราตในปี 1983

หลังจบการศึกษา โมดีเข้าร่วมพรรคภารตียชนตา (BJP) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวาของอินเดีย เขาเริ่มทำงานในภาคการเมืองท้องถิ่นและได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐคุชราตในปี 2002

ในปี 2001 โมดีได้รับแต่งตั้งเป็นมุขมนตรีแห่งรัฐคุชราต เขาดำรงตำแหน่งนี้เป็นเวลา 13 ปี โดยในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งรัฐคุชราตมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและอัตราการว่างงานลดลง

ปี 2011 โมดีนำพรรค BJP ชนะการเลือกตั้งทั่วไปของอินเดีย เขาได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 14 ของอินเดียและเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2014

ภายใต้การนำของโมดี อินเดียมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและอัตราการว่างงานลดลง เขายังดำเนินนโยบายชาตินิยมฮินดูอย่างแข็งขัน โดยยกเลิกมาตรา 370 ซึ่งทำให้แคชเมียร์มีสถานะพิเศษ และนำกฎหมายสัญชาติใหม่มาใช้ ซึ่งอนุญาตให้ชาวฮินดูจากปากีสถาน บังกลาเทศ และอัฟกานิสถานเข้าเมืองอินเดียได้อย่างรวดเร็ว

นายกฯ ผู้สร้าง Winner Campaign 

นโยบายด้านเศรษฐกิจของนายกฯ นเรนทราทำให้เกิดการถกเถียงกันมากมายในสังคมอินเดีย โดยผู้สนับสนุนมักจะชี้ให้เห็นความสำเร็จของนโยบายด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น และคำวิจารณ์ที่ชี้ไปที่ข้อบกพร่องและผลกระทบด้านลบ ต่อไปนี้คือรายละเอียดของความสำเร็จและการวิพากษ์วิจารณ์ที่สำคัญบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรณรงค์ทางเศรษฐกิจของเขา

สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ 

ภายใต้การนำของโมดี อินเดียมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสูง (มาก) โดยเฉลี่ยประมาณ 7.5% ต่อปีนับตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่คนนับล้านให้หลุดพ้นจากความยากจนและปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพของผู้คนในอินเดียจำนวนมาก

เปลี่ยนอินเดียให้เป็นประเทศดิจิทัล 

นายกรัฐมนตรีโมดีมีส่วนผลักดันให้เกิดความคิดริเริ่มด้านการเปลี่ยนแปลงในเชิงดิจิทัล หรือ Digital Transformation เช่น Aadhaar ซึ่งเป็นระบบระบุตัวตนด้วยไบโอเมทริกซ์ และโครงการ Digital India ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและการเข้าถึง โครงการริเริ่มเหล่านี้ได้เพิ่มการเข้าถึงทางการเงินและปรับปรุงบริการภาครัฐให้ทันสมัย สะดวก และประชาชนสามารถเข้าถึงได้

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

รัฐบาลในยุค โมดี มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อย่างเช่น ถนน ทางรถไฟ และสนามบิน ถูกสร้างขึ้นและพัฒนาไปมาก  โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงการเชื่อมต่อและส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

การลงทุนจากต่างประเทศ

นี่เป็นอีกจุดเด่นหนึ่งของอินเดียในช่วงหลายปีหลังมานี้ นายฯ โมดี ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมากเข้ามาในอินเดีย และมีบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่มากมายที่เข้าไปลงทุนในอินเดีย โดยบริษัทเหล่านี้เข้ามาลงทุนในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น การขยายฐานการผลิต การจ้างงานพนักงานชาวอินเดีย อย่าง Amazon  Apple  Alphabet  Microsoft  Facebook  Twitter Alibaba Tencent Baidu

 

บรรยากาศการทำงานในไลน์การผลิตของแรงงานชาวอินเดีย: Financial Times

ปฏิรูปแผนพัฒนาเศรษฐกิจ

รัฐบาลอินเดียชุดปัจจุบันดำเนินมาตรการหลายอย่างเพื่อนำเศรษฐกิจของประเทศเข้าสู่ระเบียบแบบแผนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มรายได้จากภาษีและปรับปรุงความโปร่งใสในการทำงานของภาครัฐ

ลดความยากจน ตามข้อมูลของธนาคารโลก ประชากรอินเดียที่มีฐานะยากจนมีจำนวน 227.9 ล้านคนในปี 2023 โดยคิดเป็นร้อยละ 22.5 ของประชากรทั้งหมดในประเทศอินเดีย ตัวเลขนี้ลดลงจากปี 2022 ที่มีจำนวน 236.4 ล้านคน หรือร้อยละ 23.5 ของประชากรทั้งหมด

จำนวนประชากรอินเดียที่มีฐานะยากจนลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจอินเดียเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 7.3 ต่อปีในช่วงปี 2011-2022 (นายโมดีเข้ารับตำแหน่งในปี 2014) การเติบโตทางเศรษฐกิจนี้ทำให้รายได้ของประชากรอินเดียโดยรวมเพิ่มขึ้น และส่งผลให้จำนวนประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นแบ่งความยากจนลดลง ดังนั้น จึงอาจจะพูดได้ว่าชาวอินเดียหลายล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนภายใต้การนำของโมดี ตามข้อมูลของธนาคารโลก

เกิดการรวมศูนย์ทางการเงิน โครงการริเริ่ม เช่น Aadhaar ซึ่งเป็นโครงการสร้างระบบบัตรประจำตัวประชาชนแบบดิจิทัลของประเทศอินเดีย โครงการนี้ริเริ่มโดยรัฐบาลอินเดียในปี 2009 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนทุกคนในประเทศอินเดียมีบัตรประจำตัวประชาชนที่สามารถใช้ในการยืนยันตัวตนได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย หลังจากลงทะเบียนแล้ว ประชาชนจะได้รับหมายเลข Aadhaar ซึ่งเป็นหมายเลขประจำตัวประชาชนแบบดิจิทัล หมายเลข Aadhaar สามารถใช้ในการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าถึงบริการต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น การลงทะเบียนรับสวัสดิการสังคม การเปิดบัญชีธนาคาร และการใช้โทรศัพท์มือถือ โครงการนี้ได้เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินสำหรับบุคคลหลายล้านคนที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีบัญชีธนาคารมาก่อน

พัฒนาโครงข่ายการเชื่อมต่อ รัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี  ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมต่อของประเทศเป็นอย่างมาก โดยรัฐบาลได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ มากมายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น ถนน รถไฟ ท่าเรือ สนามบิน พลังงาน และการสื่อสาร

โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในยุครัฐบาลนายกฯ โมดี ได้แก่

  • โครงการถนนสี่เลน (National Highways Development Project)
  • โครงการรถไฟความเร็วสูง (High-Speed Rail Network)
  • โครงการท่าเรือน้ำลึก (Deep-Water Ports)
  • โครงการสนามบินนานาชาติ (International Airports)
  • โครงการการสื่อสาร (Communication) โครงการนี้มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร เช่น เครือข่ายโทรคมนาคม และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

สถานะระดับโลกที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นทางเศรษฐกิจของอินเดียภายใต้รัฐบาลของนายโมดีได้เพิ่มบทบาทที่โดดเด่น สถานะ และอิทธิพล ในเวทีระดับโลกให้กับอินเดีย

นโยบายเศรษฐกิจของ โมดี มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจอินเดียทั้งเชิงบวกและเชิงลบ แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในแง่การเติบโตทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่ความกังวลยังคงมีเกี่ยวกับการสร้างงาน ความไม่เท่าเทียมกัน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การประเมินมรดกทางเศรษฐกิจของเขานั้นซับซ้อน และต้องอาศัยความเข้าใจที่ละเอียดถี่ถ้วนทั้งความสำเร็จและข้อบกพร่อง

ในช่วงสัปดาห์ที่สองของปี 2024 ผู้นำในภาคธุรกิจจากหลากหลายประเทศเดินทางมาเยือนรัฐคุชราต ซึ่งเป็นรัฐบ้านเกิดของนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีของอินเดีย ในวาระการประชุม Vibrant Gujarat Global Summit ซึ่งเป็นหนึ่งในงานการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางธุรกิจ โดยอินเดียได้เชื้อเชิญให้นักลงทุนทั่วโลกเข้ามาลงทุนในอินเดีย ด้วยคำกล่าวที่คมและอาจสร้างแรงกระเพื่อมในด้านการลงทุนให้กับอินเดียของนายกฯ เวลาที่โลกถูกรายล้อมไปด้วยความไม่แน่นอนมากมาย การปรากฏขึ้นของอินเดียเป็นแสงแห่งความหวังใหม่” 

*เกร็ดน่ารู้ การประชุม Vibrant Gujarat Global Summit เป็นการประชุมระดับนานาชาติที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมุ่งเน้นส่งเสริมการลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐคุชราตกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

การประชุม Vibrant Gujarat Global Summit ครั้งแรกจัดขึ้นในปี 2006 โดยมีนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งมุขมนตรีรัฐคุชราตเป็นผู้ริเริ่ม การประชุมประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้กว่า 200,000 ล้านดอลลาร์

การประชุม Vibrant Gujarat Global Summit ครั้งที่ 10 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 มกราคม 2024 ณ เมืองคานธีนคร รัฐคุชราต โดยมีนายกรัฐมนตรีโมดีเป็นประธานเปิดงาน การประชุมครั้งนี้มีประเทศภาคีเข้าร่วมกว่า 33 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย

ในการประชุม Vibrant Gujarat Global Summit ประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น การสัมมนาและการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับประเด็นทางเศรษฐกิจและการลงทุน การจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการจากอินเดียและต่างประเทศ และการนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่


ก็อาจจะจริงอย่างที่นายโมดี กล่าว เพราะถึงแม้ว่าการเติบโตเฉลี่ยของเศรษฐกิจทั่วโลกจะชะลอตัวจาก 2.6% ในปี 2023 เหลือ 2.4% ในปี 2024 แต่ดูเหมือนว่า อินเดียจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสวนทางกับทั้งโลก เนื่องจากเศรษฐกิจของอินเดียขยายตัว 7.6% ในช่วงตลอด 1 ปีที่ ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์เกือบทุกรายการ นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าในปี 2024 อัตราการเติบโตของอินเดียจะอยู่ที่ 6% ต่อปีหรือมากกว่านั้น และจะเติบโตด้วยอัตราที่สูงขนาดนี้ไปอีกอย่างน้อย 3 ปีข้างหน้า

การประชุม  Vibrant Gujarat Global Summit เป็นจังหวะที่ดีของนายโมดี เพราะในเดือนเมษายน ชาวอินเดียประมาณ 900 ล้านคนจะมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก เหตุผลสำคัญที่นายโมดี ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอินเดียมาตั้งแต่ปี 2014 จะได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกของประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ก็เพราะว่าคนอินเดียส่วนใหญ่คิดว่า นเรนทรา โมดี เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความสามารถมากกว่าแคนดิเดตคนอื่น ๆ และเหมาะสมที่จะกุมพวงมาลัยประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลกให้โตต่อไปได้

 

กราฟเปรียบเทียบอัตราการเติบโตของ GDP ในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก 5 อันดับ

เพื่อประเมินสถิติความสำเร็จด้านเศรษฐกิจของนายโมดี สำนักข่าว The Economist ได้วิเคราะห์ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจของอินเดียและความสำเร็จของการปฏิรูปครั้งใหญ่ที่สุดของในยุคของนายโมดี ในหลาย ๆ ด้าน  การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียต้องถือว่าแซงหน้าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Country) ส่วนใหญ่

แต่ตัวเลขในตลาดแรงงานของอินเดียยังคงอ่อนแอ และการลงทุนภาคเอกชนก็ยังอยู่ในระดับที่น่าผิดหวัง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขไม่ได้ เพราะด้วยสิ่งที่นายโมดีทำไว้อย่างดีในการวางโครงสร้างพื้นฐานและการปรับปรุงระบบนิเวศทางเศรษฐกิจให้น่าสนใจและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ อินเดียในวันนี้จึงเรียกได้ว่าเตรียมเก็บกินผลผลิตที่เคยได้ปลูกและปูพื้นฐานไว้ไปได้อีกหลายปี

แต่การชะลอตัวนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากนโยบายของนายกฯ โมดี แต่ผลกระทบส่วนใหญ่เป็นผลจากทีมงานที่ไม่ดีที่เขารับเข้ามา นอกจากนี้ ในช่วงปี 2010 เป็นช่วงที่มีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเป็นจำนวนมากเริ่มบูม อินเดียเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า “วิกฤตงบดุลแบบคู่” ซึ่งกระทบทั้งธนาคารและบริษัทโครงสร้างพื้นฐาน  ดังที่ อาร์วินด์ ซูบรามาเนียน ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลอินเดียเคยแสดงทัศนะไว้

บริษัทเหล่านั้นเต็มไปด้วยหนี้เสีย ส่งผลให้การลงทุนต้องหยุดชะงักลงเป็นเวลาหลายปีหลังจากนั้น  ในช่วงที่นายโมดีเข้ารับตำแหน่งยังเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่การเติบโตทั่วโลกชะลอตัว โดยมีรอยแผลเป็นจากวิกฤตการเงินในช่วงปี 2007-2009

หลังจากนั้นก็เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้การเติบโตโดยเฉลี่ยในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางขนาดใหญ่จำนวน 20 ประเทศลดลงจาก 3.2% (ในช่วงที่นายซิงห์ดำรงตำแหน่ง) และเหลือ 1.6% ในช่วงที่โมดีเข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วก็นับว่าอินเดียยังคงทำได้ดีกว่าอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้วนายกฯ โมดีไม่ได้พอใจกับผลงานที่ทำได้แค่การวางโครงสร้างรวมถึงระเบียบแบบแผนให้กับเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ความต้องการจริง ๆ ของนายกฯ โมดีคือการทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศที่พึ่งพาเรื่องอุตสาหกรรมการผลิตในสัดส่วนที่มากกว่านี้

ในปี 2020 รัฐบาลอินเดียได้เปิดตัวโครงการที่สนับสนุนเงินเป็นจำนวนกว่า 26,000 ล้านดอลลาร์ (หรือเทียบเท่ากับ 1% ของ GDP อินเดีย) เพื่อใช้ในการจูงใจให้มีการตั้งโรงงานสินค้าและประทับตรา Made in India

ต่อมาในปี 2021 รัฐบาลให้คำมั่นว่าจะทุ่มงบประมาณเป็นจำนวนเงินกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์เพื่อจูงใจให้มีการเปิดโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขึ้นในอินเดีย ผู้บริหารระดับสูงตั้งข้อสังเกตว่านายโมดีมีผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมนั้น ๆ เพื่อโน้มน้าวบริษัท ๆ เข้ามาลงทุน ซึ่งมักจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่ได้มีการแข่งขันสูง

สิ่งจูงใจบางอย่างอาจช่วยให้อุตสาหกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาได้ และแสดงให้บริษัทต่างชาติเห็นว่าอินเดียเปิดกว้างสำหรับธุรกิจ อย่างในเดือนกันยายนปี 2023 Foxconn ซัปพลายเออร์หลักของ Apple กล่าวว่า พวกเขาตั้งใจจะเพิ่มการลงทุนในอินเดียเป็น 2 เท่าในปี 2024 โดยปัจจุบัน Foxconn เดินกำลังการผลิต iPhone ที่อินเดียคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% จากกำลังการผลิตทั้งหมด

ภาพภายในโรงงานผลิตชิ้นส่วน iPhone ของโรงงาน Foxconn ในอินเดีย: CNBC

นอกจากนี้ ในปี 2023 Micron ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิป ได้เริ่มแผนการตั้งโรงงานมูลค่ากว่า 2.75 พันล้านดอลลาร์ในรัฐคุชราต ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานทางตรงได้ประมาณ 5,000 ตำแหน่ง และทางอ้อมอีก 15,000 ตำแหน่ง

อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้โครงการเหล่านี้มีขนาดเล็กเกินไปที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอินเดีย และภาพจริงในตอนนี้คือมูลค่าการส่งออกในภาคการผลิตต่อส่วนแบ่งของ GDP อยู่ที่ 5% เท่านั้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

และส่วนแบ่งของเศรษฐกิจในภาคการผลิตลดลงจาก 18% (ภายใต้รัฐบาลชุดก่อน) เหลือเพียง 16% นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าถ้ารัฐบาลนาย โมดี ชูนโยบายอุ้มคนในภาคอุตสาหกรรมก็น่าจะต้องใช้เงินมหาศาล อย่างในเคสของโรงงาน Micron รัฐบาลอินเดียออกค่าใช้จ่ายให้กว่า 70%  นั่นหมายความว่ารัฐบาลต้องจ่ายเงินเกือบ 100,000 ดอลลาร์ต่องาน และนี่จึงส่งผลให้ภาษีศุลกากรของอินเดียค่อย ๆ ปรับขึ้น และส่งผลต่อต้นทุนปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย

รายงานล่าสุดโดย Axis Bank หนึ่งในผู้ให้กู้รายใหญ่ที่สุดของอินเดีย ระบุว่าวงจรการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไป ตามข้อมูลของศูนย์ติดตามเศรษฐกิจอินเดีย ระบุว่า การประกาศโครงการลงทุนใหม่ ๆ ของบริษัทเอกชนพุ่งทะลุ 2 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2023 สูงที่สุดในรอบทศวรรษ และเพิ่มขึ้น 150% นับตั้งแต่ปี 2019

แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นพร้อมกันทั่วโลก จะเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในปี 2023 ที่ผ่านมา แต่บริษัทต่าง ๆ ก็ยังมีความตั้งใจที่จะลงทุนในอินเดีย เนื่องจากว่าพวกเขาพยายามที่จะ “ลดความเสี่ยง” ในการลงทุนกับจีนให้น้อยลง ดังนั้น นี่จึงเป็นโอกาสอันดีมาก ๆ ที่การปฏิรูปเศรษฐกิจของนายกฯ โมดีจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเข้ามาลงทุนในอินเดียของบริษัทต่างชาติ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ นายกฯ โมดีก็จะได้รับความดีความชอบในฐานะผู้นำที่ทำให้เศรษฐกิจประสบความสำเร็จ

ผลที่ตามมาของนโยบายของโมดีจะใช้เวลาหลายปีกว่า เศรษฐกิจอินเดีย จะเริ่มเห็นผลทั้งหมด เช่นเดียวกับที่การลงทุนที่บูมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงปีหลัง ๆ ซึ่งก็เป็นผลมาจากที่นายกฯ โมดี ได้วางรากฐานเอาไว้ก่อนหน้านี้

กลยุทธ์ของเขาในการใช้เงินสวัสดิการเพื่อทดแทนการสร้างงานก็พิสูจน์ได้ว่าไม่ยั่งยืน ความล้มเหลวในการสร้างขีดความสามารถของรัฐบาลท้องถิ่นในการให้บริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน เช่น การศึกษา อาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโต

Subhash Chandra Garg อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังภายใต้รัฐบาลนายกฯ โมดี กังวลว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญกับ “เงินอุดหนุน” และ “ของแจกฟรี” มากจนเกินไป รวมถึงความมุ่งมั่นในการปฏิรูปเศรษฐกิจที่แท้จริงก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากเหมือนแต่ก่อน ถึงอย่างไรก็ตาม เชื่อว่าชาวอินเดียจำนวนมากจะไปลงคะแนนเสียงด้วยความรู้สึกมองโลกในแง่ดีอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่นายกรัฐมนตรีของพวกเขาทำไว้ ดังนั้น เวลาจึงเป็นเครื่องพิสูจน์ผลลัพธ์ของนโยบายด้านเศรษฐกิจของนายกฯ โมดี ♦

อ้างอิง

https://www.economist.com/finance-and-economics/2024/01/15/how-strong-is-indias-economy-under-narendra-modi

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer