ทีวีดิจิทัล ผ่านมา 10 ปี แข่งขันไม่แผ่ว กรณีศึกษา MONO พลิกทุกเกม “สู้” แต่ยัง “หนัก”

เมื่อยกหนึ่งของสงครามทีวีดิจิทัลเริ่มขึ้นในปี 2557 ทุกค่ายเร่ง speed แข่งกันทำเรตติ้ง เพื่อแย่งชิงเม็ดเงินโฆษณา

MONO 29 ในวันนั้นคือช่องนักสู้หน้าใหม่จากโมโน กรุ๊ป ที่เข้ามาอยู่ในวงล้อมของเจ้าคอนเทนต์รายใหญ่ เช่น ช่อง 3, ช่อง 7, ไทยรัฐทีวี, อัมรินทร์ทีวี, เวิร์คพอยท์, วัน, แกรมมี่ ฯลฯ

แต่สามารถขึ้นมาครอง TOP3 ด้านเรตติ้งอยู่นานหลายปี จากอาวุธสำคัญภายใต้คอนเซ็ปต์ “ฟรีทีวีที่มี หนังดี ซีรีส์ดัง มากที่สุด” ซึ่งแตกต่างจากคอนเทนต์ของช่องอื่น ๆ

เรตติ้งได้แต่กำไรร่วงต่อเนื่อง แต่ MONO ไม่เคยถอย

ตั้งแต่ปี 2557 แม้รายได้ของ MONO จะเพิ่มขึ้นเกือบทุกปี แต่ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับต้นทุนของการทำทีวีดิจิทัล

เม็ดเงินกำไรครั้งแรกได้เห็นเมื่อปี 2560 จากรายได้ 1,582 ล้านบาท กำไร 90 ล้านบาท แต่พอในปี 2562 กลับไปขาดทุนอีก 259 ล้านบาท และขาดทุนเพิ่มเป็น 661 ล้านในปี 2563  และล่าสุดในปี 2566 ยังมีตัวเลขขาดทุนที่  255 ล้านบาท

ส่วนไตรมาสแรกปี 2567 นี้ ตัวเลขขาดทุนอยู่ที่ 105 ล้านบาท

การแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจทีวีดิจิทัลที่ยังคงเหลืออยู่ ผลของวิกฤตโควิด-19 สงครามในต่างประเทศ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มสูง ส่งผลต่อการซื้อโฆษณาที่ลดลงของผู้ประกอบการ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการของบริษัทยังคงขาดทุน

ตัวเลขจากนีลเส็นระบุว่าเม็ดเงินโฆษณาทางสื่อทีวีในปี 2558 อยู่ที่ 78,343 ล้านบาท ปี 2566 อยู่ที่ 60,689 ล้านบาท ลดลงอีก 3.2% เมื่อเทียบกับปี 2565

MONO จำเป็นต้องปรับตัว พยายามหาน่านน้ำใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตตลอดเวลา

ในปี 2563 บริษัทปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ มีการย้ายที่ตั้งสำนักงานจากตึกจัสมิน ถนนแจ้งวัฒนะ มายัง MONO29 STUDIO ส่งผลให้บริษัทลดภาระค่าใช้จ่ายไปได้มาก

เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ จากเดิม บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนเป็น บริษัทโมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน)

ที่เคยมีบริษัทหลากหลาย ทั้งธุรกิจบริการเสริมบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ ธุรกิจสื่ออินเทอร์เน็ต ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ธุรกิจสื่อทีวี ธุรกิจสื่อวิทยุ ธุรกิจเพลง ธุรกิจภาพยนตร์ ธุรกิจกีฬาบาสเกตบอล ธุรกิจโชว์บิซ (การจัดการแสดงคอนเสิร์ต) และธุรกิจท่องเที่ยว

วันนี้ลดเหลือเพียง 5 ธุรกิจหลัก คือ 1. ธุรกิจสื่อทีวี 2. ธุรกิจบริการวิดีโอสตรีมมิ่งแบบบอกรับสมาชิก 3. ธุรกิจให้บริการออกแบบธุรกิจออนไลน์ครบวงจร 4. ธุรกิจคอมเมิร์ซ 5. ธุรกิจจัดสรรคอนเทนต์

ในปีที่ผ่านมารายได้หลักยังคงมาจากสื่อทีวี 1,140 ล้านบาท (60.18%) และรายได้จากวิดีโอสตรีมมิ่ง แบบบอกรับสมาชิก 545 ล้าน (28.77%)

 ปี 2567 วางแผนสู้ต่อไป

ถึงแม้วันนี้ตลาดสตรีมมิ่งในประเทศไทยกำลังแข่งขันกันดุเดือดจากแฟลตฟอร์มรายใหญ่ทุนหนาข้ามชาติ เช่น Netflix, HBO, Disney, We, Tv, QIY, VIU

แต่ MONOMAX ก็ประกาศว่าพร้อมขึ้นแท่นเบอร์หนึ่ง “สตรีมมิ่งไทย” เพื่อสร้าง Cash Cow เพิ่มขึ้นอีกตัว ด้วยการดึงซีรีส์จีนฟอร์มยักษ์เป็นอีกแม่เหล็กดึงคนดู ที่สำคัญยัง “พากย์ไทย” และซับไทยครบทุกเรื่อง

โดยวางเป้าหมายรายได้ปี 2567 ของ MONOMAX อยู่ที่ 650-700 ล้านบาท วางเป้ายอดผู้รับชม 1.5 ล้านรายภายใน 2 ปี ซึ่งปัจจุบันมียอดสมาชิกอยู่ประมาณ 0.86 ล้านราย

ส่วนของ MONO 29 วางไว้ที่ 1,200 ล้านบาท

รวมทั้งลุยผลิตคอนเทนต์ที่เป็นภาพยนตร์ซีรีส์ ละคร ข่าว และรายการวาไรตี้ ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่ผลิตเองในนาม Mono Original และเผยแพร่บน 2 แพลตฟอร์ม คือ Monomax และ MONO29

ด้านพนักงาน ในต้นปี 2567 มีการปรับโครงสร้างการทำงาน และ “ลดขนาดองค์กร” ด้วยการลดคนอีกครั้งเพื่อความอยู่รอด ส่งผลให้ในปี 2567 ค่าใช้จ่ายพนักงานปรับลดลงประมาณ 17 ล้านบาทต่อเดือน หรือลดลงคิดเป็นร้อยละ 50 ก่อนปรับโครงสร้าง

พร้อม ๆ กับการลาออกของ ปฐมพงศ์ สิรชัยรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 67 หลังจากบุกงานตรงนี้มาประมาณ 4-5 ปี

และการกลับมาของ นวมินทร์ ประสพเนตร ที่มานั่งรักษาการ CEO แทน จะสามารถทำให้ MONO  ผ่านจุดที่ยากลำบากในตลาด ทีวีดิจิทัล นี้ไปได้หรือไม่

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer