GrabNEXT 2024 สรุป 6 ประเด็นสำคัญส่วนหนึ่งของแรงผลักดันท่องเที่ยวไทยจากภาคเอกชน
อย่างที่ทราบกันดีว่า “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว” คือปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาระบุจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาไทยใน 4 เดือนแรกของปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นกว่า 39% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา นับเป็นสัญญาณบวกการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในประเทศ
ขณะเดียวกันภาครัฐเองตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก พร้อมยกระดับไทยให้เป็น Tourism Hub หรือศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาค และเป็น Aviation Hub ที่มีศักยภาพรองรับนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางกว่า 150 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573 ที่สำคัญ คือ ตั้งเป้ารายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 3.5 ล้านล้านบาท
การจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว การขับเคลื่อนของภาครัฐเพียงฝ่ายเดียวคงไม่พอ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนคือแรงสำคัญ หนึ่งในภาคเอกชนที่มีการขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างชัดเจน คือ Grab ประเทศไทย
ที่ผ่านมาเราได้เห็น Grab เดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ภายใต้การเป็น Super App ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีและความแข็งแกร่งของอีโคซิสเต็ม Grab นำจุดแข็งเหล่านี้มาช่วยเติมเต็มบริการและสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น

ล่าสุดกับงาน “GrabNEXT 2024: Driving towards the Future of Tourism ขับเคลื่อนการท่องเที่ยว สู่อนาคตที่ดีกว่า” เวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาแนวทางในการส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ
ภายในงาน Grab ได้ฉายภาพแผนยกระดับการท่องเที่ยวให้พร้อมตอบโจทย์นักท่องเที่ยวยุคใหม่ ซึ่งจะเป็นแรงสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ด้วยวิสัยทัศน์ เทคโนโลยี และเครื่องมือจาก Grab เองภายใต้กลยุทธ์ T.R.A.V.E.L.
Marketeer สรุปประเด็นสำคัญของ T.R.A.V.E.L. พร้อมวิเคราะห์โอกาสและความเป็นไปได้จากกลยุทธ์ดังกล่าวนี้มาให้ได้อ่านและนึกภาพตามกัน
T = Technological Integration การนำเทคโนโลยีดิจิทัลอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยวในกลุ่ม F.I.T. (Free Independent Travelers) หรือนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตนเองกลายเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่เดินทางมาประเทศไทยในปัจจุบัน หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวดึงดูดและทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ตัดสินใจง่ายขึ้น คือ เทคโนโลยีอำนวยความสะดวก ทั้งการชำระเงิน การเดินทาง หรือการจองที่พัก
Grab ได้ออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีตั้งแต่การวางแผนการเดินทางไปจนถึงการอำนวยความสะดวกระหว่างการท่องเที่ยว ซึ่งทำได้ไม่ยาก เพราะ Grab มี “อีโคซิสเต็ม” และ “พันธมิตร” ที่แข็งแกร่ง
ยกตัวอย่าง หน้าจอต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถสำรวจและวางแผนการเดินทางบนแอปพลิเคชัน Grab ตั้งแต่ก่อนมาถึงประเทศไทย การพัฒนาแอปพลิเคชันให้มีหลายภาษา ทั้งอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี หรือการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันชั้นนำให้สามารถใช้บริการเรียกรถของ Grab ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง WeChat Booking.com และ Trip.com ได้ รวมถึงการขยายช่องทางการชำระเงินดิจิทัลผ่าน Alipay และ Kakao Pay
R = Reliability & Safety การสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว

อีกหนึ่งปัจจัยหลักที่นักท่องเที่ยวคำนึงถึงในการเดินทางคือ “เรื่องความปลอดภัย” ไม่ว่าจะเป็นการเลือกที่พัก หรือการใช้บริการขนส่งสาธารณะต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว Grab จึงได้ยกระดับความปลอดภัยผ่านการพัฒนา 3 ส่วนสำคัญ คือ
เทคโนโลยีด้านความปลอดภัย อาทิ ฟีเจอร์ Safety Centre สำหรับแจ้งขอความช่วยเหลือ หรือ ฟีเจอร์ Audio Protect เพื่อบันทึกเสียงระหว่างการเดินทาง

มาตรการด้านความปลอดภัย ด้วยการคัดกรองและอบรมคนขับ การกำหนดมาตรฐานการให้บริการที่มุ่งเน้นด้านความปลอดภัย และบริการการทำประกันเพื่อคุ้มครองทั้งผู้โดยสารและคนขับ
การจัดแคมเปญรณรงค์ส่งเสริมความปลอดภัย ที่ล่าสุด Grab จับมือกับกรุงเทพมหานคร เพื่อรณรงค์เรื่องการขับขี่ปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา
Grab ไม่เพียงพัฒนาเทคโนโลยีที่มีอยู่ แต่ยังสร้าง Environment ที่ปลอดภัยทั้งภายในองค์กรและภายนอกองค์กรอีกด้วย ซึ่งในกลุ่มผู้ใช้งานแอปฯ เรียกรถเพื่อเดินทางจะทราบกันดีว่า Grab คือแอปที่มีระบบติดตามการเดินทางที่ดีและเสถียรที่สุด
A = Accessibility การส่งเสริมการเดินทางเพื่อเข้าถึงเมืองหลักและเมืองรอง

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติหันมาสนใจเดินทางไปยังเมืองรองมากขึ้น สะท้อนจากรายได้จากการท่องเที่ยวเมืองรองในปีที่ผ่านที่เติบโตขึ้นถึง 38%[1]

เพื่อสร้างความสะดวกสบายในการเดินทางไปยังจังหวัดในเมืองหลักและเมืองรองแบบไร้รอยต่อ Grab ได้ขยายบริการเรียกรถผ่านแอปฯ ไปยัง 71 จังหวัดทั่วไทย ครอบคลุมเมืองหลักและเมืองรอง ทั้งยังได้ผนึกความร่วมมือกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เปิดจุดรับ-ส่งผู้โดยสารเพื่อให้บริการในสนามบินหลัก ทั้งภูเก็ต เชียงใหม่ ดอนเมือง และสุวรรณภูมิ
ตรงนี้ช่วยให้นักท่องเที่ยวมีตัวเลือกในการเดินทางเพิ่มมากขึ้น กำหนดหรือวางแผนการเดินทางได้ง่ายและสะดวกขึ้น
V = Valuable Experiences การสร้างประสบการณ์การเดินทางที่น่าจดจำ

การบริการ (Service Mind) ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม คือ เสน่ห์อย่างหนึ่งของคนไทยที่ดึงดูดและพิชิตใจนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางกลับมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง Grab เองต้องการสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวในทุกเที่ยวการเดินทาง
จึงได้พัฒนาศักยภาพให้กับคนขับผ่านคอร์สอบรมออนไลน์ภายใต้โครงการ GrabAcademy ครอบคลุมทั้งในด้านมาตรฐานการให้บริการ การสื่อสารภาษาต่างประเทศเบื้องต้น และการขับขี่อย่างปลอดภัย รวมถึงยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้พิเศษยิ่งขึ้นผ่านบริการ GrabCar Premium ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมอบความสะดวกสบายแบบเอ็กซ์คลูซีฟให้กับนักท่องเที่ยวในทุกการเดินทาง
E = Environmentally Friendly การส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบรักษ์โลก
ปัจจุบันนักท่องเที่ยวตระหนักถึงการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (Sustainable Tourism) เพิ่มมากขึ้น ภาครัฐของไทยเองได้เปิดตัวโครงการ ‘STGs เที่ยว 4 ดี ดีต่อโลก ดีต่อเรา’ ช่วยผู้ประกอบการไทยผลักดันการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน

เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน Grab จึงได้มุ่งพัฒนาและนำเสนอตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็น การริเริ่มโครงการ Grab EV ที่ส่งเสริมให้คนขับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในการให้บริการเรียกรถ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้โดยสาร
และการพัฒนาฟีเจอร์ชดเชยการปล่อยคาร์บอน (Carbon Offset) ที่ผู้ใช้บริการสามารถร่วมบริจาคเงิน 2 บาทต่อการเดินทาง หรือ 1 บาทจากการสั่งอาหาร เพื่อนำไปปลูกต้นไม้เพื่อชดเชยคาร์บอน ซึ่งจากการบริจาคเงินของผู้ใช้บริการในปี 2566 Grab สามารถนำไปปลูกต้นไม้ได้เป็นจำนวนกว่า 150,000 ต้น
วิสัยทัศน์และแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมของ Grab สะท้อนให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่ชัดเจนและสัมผัสได้ เป็นอีกหนึ่งแรงที่ช่วยผลักดันระบบนิเวศการท่องเที่ยวไทยให้เกิดความยั่งยืน
L = Local Touch การผลักดันให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์ท้องถิ่น

จากการสำรวจพบว่า 65% ของนักท่องเที่ยวให้ความสนใจที่จะมาสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น[2] ไม่ว่าจะเป็น การไปเทศกาลประจำจังหวัดต่าง ๆ การได้ลิ้มลองอาหารพื้นบ้าน หรือการอุดหนุนสินค้าชุมชน
Grab ในฐานะแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่ “เชื่อมโยง” นักท่องเที่ยวและผู้บริโภคกับผู้ประกอบการรายย่อยและคนขับ จึงมุ่งสนับสนุนการเข้าถึงประสบการณ์ท้องถิ่นและวัฒนธรรมไทยในมิติต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจผ่านการทำหนังสือไกด์บุ๊ก Grab & Go ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การโปรโมตอาหารไทยเมนูเด็ดจากร้านอาหารรายย่อยผ่าน GrabFood และการจำหน่ายสินค้าท้องถิ่นฝีมือคนไทยผ่าน GrabMart เพื่อให้ชาวต่างชาติสามารถเลือกซื้อได้สะดวกยิ่งขึ้น

ภายใต้เป้าหมายการยกระดับประเทศไทยให้เป็น Tourism Hub ของภาครัฐ และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ศักยภาพด้านเทคโนโลยีและความแข็งแกร่งของอีโคซิสเต็มของ “Grab” ปฏิเสธไม่ได้ว่า Super App ที่อยู่คู่คนไทยนี้ คืออีกหนึ่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยผลักดันและทำให้การท่องเที่ยวไทยไร้รอยต่อมากขึ้น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ grb.to/GrabNEXT2024
#GrabNEXT #GrabTH #ทีมGrab
GrabNEXT 2024
[1] ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
[2]ข้อมูลจาก Expedia
–
