เดอะ ไพร์ทอน (The Phaithon) ทำความรู้จักบริษัทรับผลิตอาหารเสริมรายใหญ่ กับเป้าหมายยอดขาย 500 ล้านที่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ท่ามกลางการเติบโตของตลาดออนไลน์มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก คือพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยน และสถานการณ์โควิด-19 ที่เป็นตัวเร่งให้ผู้คนเปิดใจรับเทคโนโลยีมากขึ้น ส่งผลให้การขายของโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสกินแคร์เติบโต

อีกหนึ่งธุรกิจใน Supply Chain นี้ที่ได้รับอานิสงส์ชัดเจนคือ ธุรกิจ OEM เหล่าผู้รับผลิตอาหารเสริมและสกินแคร์ต่าง ๆ

Marketeer มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้คร่ำหวอดในวงการธุรกิจผู้รับผลิตอาหารเสริมและสกินแคร์รายใหญ่อย่าง เดอะ ไพร์ทอน (The Phaithon) ถึงเรื่องราวที่มาของธุรกิจ เบื้องหลังความสำเร็จและกลยุทธ์การสร้างยอดขาย 380 ล้านบาทภายใน 3 ปี

เริ่มต้นจากอินไซต์คนขายของออนไลน์

(ซ้าย) กรีน-อุไรวรรณ อาจศัตรู กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะไพร์ทอน (ขวา) โอ้-ปฐวี ปานยิ้มภคกุล ที่ปรึกษาฝ่ายคอนเทนต์และการตลาด บริษัท เดอะไพร์ทอน

ย้อนกลับไปราว 7-8 ปีก่อน ช่วงที่ธุรกิจขายของออนไลน์กำลังก้าวเข้าสู่ยุครุ่งเรือง กรีน-อุไรวรรณ อาจศัตรู กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะไพร์ทอน ในตอนนั้นเธอคือแม่ค้าออนไลน์มือหนึ่ง ขายสินค้าต่าง ๆ รวมถึงแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของตัวเอง ด้วยยอดซื้อที่พุ่งสูงสวนทางกับสต๊อกสินค้าที่ไม่เพียงพอเนื่องจากโรงงานผลิตสินค้าไม่ทัน ทำให้ธุรกิจของเธอสะดุดกลายเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน และเมื่อผ่านพ้นวิกฤตไปเธอจึงเกิดไอเดียที่จะทำโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง

“กรีนเป็นแม่ค้าออนไลน์มาก่อน เริ่มต้นจากรายเล็กเป็นรายใหญ่ และก้าวสู่การเป็นเจ้าของแบรนด์คอลลาเจน โดยเน้นเจาะตลาด Mass เนื่องจากในยุคนั้นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนจะมีราคาค่อนข้างสูง กรีนมองว่ายังไม่มีใครทำสินค้าในราคาที่จับต้องได้ เราเลยทำคอลลาเจน 5 ซองในราคา 99 บาท ตอนนั้นยอดขายถล่มทลาย ออเดอร์ทะลักทำให้โรงงานผลิตสินค้าให้เราไม่ทัน และกลายเป็นที่มาของการสร้างโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง”

แรกเริ่มเธอลงทุนด้วยเงินเก็บกว่า 10 ล้านบาท สร้างโรงงานแห่งแรกในปี 2563 ผลิตสินค้าแบรนด์ต่าง ๆ ของเธอเอง 2 ปีถัดมาได้มีการเปลี่ยนหุ้นส่วนและแนวทางการบริหาร เธอได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น เดอะ ไพร์ทอน (The Phaithon) รับผลิตอาหารเสริมและสกินแคร์ โดยเน้นเจาะกลุ่มแม่ค้าออนไลน์เป็นหลัก

“กรีนเริ่มต้นจากการเป็นแม่ค้าออนไลน์ ทำให้เข้าใจอินไซต์การทำงานและความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาต้นทุนหรือการสต๊อกสินค้า เดอะ ไพร์ทอน จึงเจาะกลุ่มแม่ค้าออนไลน์เป็นหลัก โดยใช้กลยุทธ์ Economy of Scale เราผลิตจำนวนเยอะ ๆ เพื่อให้ต้นทุนสินค้าลดลง บวกกับเรามีฐานลูกค้าและคนรู้จักเราเยอะ ทำให้ในปีแรกเดอะ ไพร์ทอนทำรายได้กว่า 100 ล้านบาท”

แข็งแกร่งด้วยคุณภาพ

เมื่อถามถึงจุดแข็งของเดอะ ไพร์ทอน โอ้-ปฐวี ปานยิ้มภคกุล ที่ปรึกษาฝ่ายคอนเทนต์และการตลาด บริษัท เดอะไพร์ทอน แม่ทัพคนสำคัญของแบรนด์ เล่าให้เราฟังว่า

“จุดแข็งของเดอะ ไพร์ทอน คือการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยทั้งโอ้และกรีนไปเรียนตั้งแต่เรื่องการผลิตสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ การเลือกส่วนผสม การวิจัยและพัฒนา (R&D) ขั้นตอนทั้งหมดก่อนจะออกมาเป็นสินค้า 1 ชิ้นเป็นอย่างไร ซึ่งเราให้ความสำคัญในทุกขั้นตอนเพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพ เรามีทีมงานมืออาชีพผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 10 ปี พร้อมกระบวนการผลิตที่ทันสมัย ภายใต้มาตรฐานการรับรองโดยระบบ GMP

“ล่าสุดเราได้รับรางวัล ‘Hall Of Fame in Singapore Awards 2024 (HOFS AWARDS 2024)’ ในสาขา OEM/ODM Manufacturer Hall Of Fame ณ The Ritz-Carlton Millenia ประเทศสิงคโปร์ เป็นปีที่ 2 เป็นอีกหนึ่งรางวัลการันตีคุณภาพและมาตรฐานของเดอะไพร์ทอน”

สร้างแบรนด์ในเครือเพื่อเป็นโมเดลธุรกิจและเรียนรู้ตลาด

ด้วยความเข้าใจอินไซต์ของเจ้าของแบรนด์สินค้าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทำให้เดอะไพร์ทอนสามารถตอบรับทุก ๆ ดีมานด์ที่เข้ามา ผลิตและส่งสินค้าได้รวดเร็วทันใจ แต่ทว่าเทรนด์ของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนอยู่ตลอดทำให้แบรนด์สินค้าต้องอัปเดตและปรับตัวอยู่ตลอดเช่นกัน เดอะไพร์ทอนแก้เกมนี้ด้วยการทำแบรนด์สินค้าของตัวเองเพื่อศึกษาตลาดและเป็นโมเดลธุรกิจให้กับลูกค้า

“เรามีแบรนด์กาแฟ 2 แบรนด์ในเครือ คือ นาคา และวันดี และยังมีคอลลาเจนแบรนด์ Dr.g เพื่อเป็นโมเดลธุรกิจให้ลูกค้า ขณะเดียวกันเราเองก็ได้อัปเดตเทรนด์ธุรกิจ ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภค ความต้องการของตลาด ช่องทางการขาย เทรนด์เทคโนโลยีต่าง ๆ จากการสร้างแบรนด์และขายสินค้าด้วยเหมือนกัน

“อย่างโอ้ที่ดูแบรนด์กาแฟ ‘วันดี’ เองทั้งหมดตั้งแต่สร้างแบรนด์ กลุ่มเป้าหมาย และเทรนด์ตลาดต่าง ๆ ซึ่งหลายคนสงสัยว่า กาแฟวันดีและนาคาไม่แย่งตลาดกันเองหรือ แต่พอมาทำจริงเรารู้ว่ายังมีดีมานด์และความต้องการของผู้บริโภคอยู่อีกมาก อย่าลืมว่าพฤติกรรมผู้บริโภคคนส่วนใหญ่เป็นคนขี้เบื่อ และมี Brand Loyalty น้อยในกลุ่มสินค้าประเภทนี้ เขาเปลี่ยนและลองสินค้าใหม่ไปเรื่อย ๆ ตรงนี้คือโอกาส ซึ่งเราสามารถแนะนำให้กับลูกค้าที่ต้องการทำแบรนด์หรือสร้างแบรนด์ของตัวเองได้”

One Stop Service เพื่อนคู่คิดเจ้าของแบรนด์

นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่กลายเป็นจุดแข็งสำคัญทำให้เดอะไพร์ทอนแตกต่างจาก OEM อื่น ๆ คือ การเป็น One Stop Service เพื่อนคู่คิดเจ้าของแบรนด์ เริ่มตั้งแต่การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการตลาดการจัดจำหน่ายสินค้าไปยังช่องทางต่าง ๆ การวางแผนการตลาดออนไลน์ รวมไปถึงการมอบเครื่องมือในการทำตลาด เช่น การทำคอนเทนต์การผลิตให้ เพื่อให้แบรนด์สามารถนำไปใช้ในการขายสินค้า หรือการสร้างสตูดิโอพร้อมเครื่องมือครบครันในการไลฟ์ขายของหรือทำคอนเทนต์ต่าง ๆ รวมถึงการอบรมมอบความรู้ให้กับเจ้าของแบรนด์

“เนื่องจากธุรกิจมีการเติบโตและขยายตัวเป็นอย่างดี เราได้สร้าง Head Office ใหม่ให้มีพื้นที่มากขึ้น รอรับพนักงานที่เพิ่มขึ้น และเพื่อขยายสตูดิโอสำหรับสอนถ่ายภาพหรือไลฟ์ขายสินค้าตามเทรนด์และกระแสในช่วงเวลานั้น ๆ เรามีการถ่ายทำคอนเทนต์การผลิตสินค้าเพื่อให้แต่ละแบรนด์สามารถนำไปใช้ประกอบการขาย เพราะเรารู้ว่าผู้บริโภคต้องการรู้ถึงแหล่งที่มาของสินค้าเพื่อมั่นใจในคุณภาพ ตรงนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ของลูกค้าเราได้”

ยอดขาย 380 ล้านบาท กับการเติบโตอย่างมั่นคง

ด้วยกลยุทธ์ Economy of Scale ทำให้ในปี 2566 ที่ผ่านมา เดอะ ไพร์ทอน สามารถสร้างยอดขายรวมกว่า 380 ล้านบาท ถือเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

“ในปี 2566 ที่ผ่านมาเราสามารถทำรายได้กว่า 380 ล้านบาท ซึ่งทะลุเป้าหมายที่วางไว้ ทำให้นอกจากการสร้าง Head Office ใหม่แล้ว เรายังเดินหน้าขยายโรงงานใหม่เพิ่มไลน์การผลิตผลิตภัณฑ์สกินแคร์โดยเฉพาะ นั่นจะทำให้เดอะไพร์ทอนครบเครื่องมากยิ่งขึ้น

“ปัจจุบันเรามีลูกค้ากว่า 200 แบรนด์ ในปี 2567 นี้เราตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 500 ล้านบาท ดูจากตัวเลข ณ ขณะนี้แล้วคิดว่าน่าจะเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่เรายังคงเดินหน้าสร้างการสื่อสารผ่านทั้งสื่อออฟไลน์-ออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม

เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน กรีนมองว่าเดอะไพร์ทอนยังคงต้องพัฒนาศักยภาพและเพิ่มขีดจำกัดของกำลังการผลิตให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงคิดค้นพัฒนาและวิจัยสูตรของผลิตภัณฑ์ที่มีความแปลกใหม่อย่างสร้างสรรค์ โดยดำเนินการภายใต้กรอบของความปลอดภัย คุ้มค่า และเห็นผลได้จริง” กรีน-อุไรวรรณ กล่าวทิ้งท้าย

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer