กรุณา บัวคำศรี ก้าวใหม่ของชีวิตที่ยัง “เสี่ยง” เหมือนเดิมเพิ่มเติมคือ “ใจฟู”กว่าเดิม
ภาพนักข่าวผู้หญิงไทยตัวเล็ก ๆ ที่แบกเป้สะพายหลัง เดินทางไปสัมภาษณ์ผู้คนในประเทศต่าง ๆ เพื่อค้นหาคำตอบให้กับหลากหลายประเด็นสำคัญของโลก
บางครั้งจะเห็นเธอเดินถือไมค์อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังที่เกิดจากสงครามในอิรัก อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยโรฮิงญาชายแดนบังกลาเทศ คอยเดินหลบพวกมาเฟียในย่านโคมแดงของประเทศเนเธอร์แลนด์ ไปดูคนไร้บ้านในสเปน หรือคุกที่แออัดที่สุดในโลกที่ฟิลิปปินส์ ฯลฯ

“รอบโลก by กรุณา คำบัวศรี” ทางช่อง PPTV เป็นรายการที่ต่างไปจากข่าวต่างประเทศทั่วไป เพราะให้ความสำคัญในเรื่องการลงเจาะลึก สัมผัสผู้คนและสถานที่จริง เพื่อให้คนดูได้มองภาพแบบเข้าใจมากขึ้น
4 ปีผ่านไป การตะลุยโลกของเธอต้องชะงักลงจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้การเดินทางของเธอต้องหยุดไปโดยปริยาย
และต้องปรับเป็นรายการ “รอบโลกเดลี่” ในสตูดิโอแทนอีก 2 ปี พร้อม ๆ กับการขาดทุนอย่างหนักของช่อง PPTV
ดังนั้น เมื่อหมดสัญญากับ PPTV เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา กรุณาก็จำเป็นต้องปิดฉากภารกิจของตัวเองที่นั่นด้วยเช่นกัน
“คือจริง ๆ แล้วณาพอจะรับทราบสถานการณ์ทางการเงินของช่องมาสักพักแล้ว เมื่อผู้บริหารพูดมาเราก็พอที่จะเข้าใจว่าถึงแม้เขาต้องการที่จะให้มีรายการข่าวแบบนี้แค่ไหน แต่ก็แบกภาระต้นทุนไม่ได้เหมือนกัน”

เมื่อ Marketeer ถามว่า เคยเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า
“แน่นอนค่ะ เพราะตลอดชีวิตคิดมาเสมอว่า ถ้าหากเราอยากทำงานที่ดีแบบที่เราต้องการ เราต้องหาเงินและยืนให้ได้ด้วยตัวเอง”
เธอย้ำว่า
“ถึงวันนี้ณาก็ยังพูดได้เต็มปากว่าคุณหมอปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ คือผู้มีพระคุณมากที่สุดคนหนึ่งในชีวิต การให้โอกาสทำงาน ทำให้ความฝันของเราเป็นจริงที่ได้ทำรายการแบบนี้ และตลอด 6 ปีที่ผ่านมาท่านไว้ใจเราโดยไม่ได้มาก้าวก่ายอะไรเลย เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด”
ประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตการทำข่าวที่ผ่านมาทั้งหมด ทำให้เธอเริ่มบทต่อไปของชีวิตอย่างมั่นใจ
ทั้งในส่วนที่เป็นงานข่าว และบทบาทการเป็นเจ้าของแบรนด์ “TARA” ธุรกิจที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต

ก่อนที่จะถึง The Next Chapter ของกรุณา
มาดูว่าตลอดระยะเวลา 54 ปี ชีวิตของเธอมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างไรบ้าง และการเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งนั้นผู้คนและสิ่งแวดล้อมรอบตัวมีอิทธิพลอย่างไรกับทัศนคติและวิธีคิดของผู้หญิงคนนี้
จากเด็กยากจนคนหนึ่งที่มีบ้านอยู่ในอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ติดชายแดนประเทศกัมพูชา
เสียงปืน เสียงระเบิดที่ก้องหู และภาพผู้คนที่หน้าตาตื่นกลัว จูงมือลูกหลานอพยพเข้ามาฝั่งไทยและเดินผ่านหน้าบ้านของเธอไม่ขาดสายหลายแสนคน ในสมัยเกิดสงครามกลางเมืองในกัมพูชา
คือภาพจำ และความฝังใจที่ทำให้เธอมีความสนใจในเรื่องการเมืองสงคราม และชีวิตของผู้คนในเวลาต่อมา
จุดเปลี่ยนสำคัญครั้งแรกคือการเข้าไปเป็นนิสิตใหม่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เธอคือเด็กกิจกรรมตัวยงของชมรมต่าง ๆ เช่น ชมรมด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งได้เข้าไปช่วยองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ (อบจ.) ทำกิจกรรมอย่างเต็มตัวในเรื่องการเมืองโดยเฉพาะเหตุการณ์รัฐประหาร รสช. ในช่วงเวลานั้น

“ตอนนั้นเหมือนเป็นการเปิดประตูให้เราไปสู่อีกโลกหนึ่ง เป็นโลกใบใหม่ที่ไม่คิดมาก่อนว่าได้เจอ และทำให้เราเริ่มคิดว่าแล้วในอนาคตเราจะอยู่ที่ตรงไหน ทำอะไร”
ครั้งต่อมาคือการเข้าไปเป็นนักข่าวที่ไอทีวี ช่องที่ให้ความสำคัญกับการเสนอสาระและข่าวสารเป็นหลัก และกลายเป็นช่องทีวีที่ขาดทุนอย่างหนักในเวลาต่อมา
แต่เมื่อผู้ที่จะเข้ามากอบกู้สถานะของไอทีวี คือบริษัท ‘ชินคอร์ป’ ของทักษิณ ชินวัตร ที่เพิ่งประกาศเล่นการเมือง และลงในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นักข่าวส่วนหนึ่งกลัวจะถูกครอบงำทางการเมืองเลยออกมาประท้วง และกรุณา บัวคำศรี คือ 1 ใน 21 กบฏไอทีวีในตอนนั้น
เป็นช่วงอายุ 20 ปีปลาย ๆ ที่มั่นใจว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ต้องตกงานก็ตาม และก็ไม่มีสำนักข่าวไหนกล้ารับหัวโจกกรุณาทำงานอีก เลยต้องมาทำฟรีแลนซ์ให้กับสำนักข่าวต่างชาติเต็มตัว ได้มีโอกาสทำทั้งข่าวและสารคดี และได้อยู่เบื้องหลังการทำสารคดีที่มีมาตรฐานระดับโลก
เธอมีโอกาสได้เจอทักษิณ ชินวัตร อีกครั้งหนึ่งในยุคที่มาทำงานให้สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กรุณาคือนักข่าวคนแรกที่ตามไปพบและได้สัมภาษณ์สดทักษิณที่ฮ่องกง ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับเมืองไทยครั้งแรกเพียง 1 วัน (ช็อตที่มีภาพกราบแผ่นดิน)
“สำหรับณาถือว่าไม่มีอะไรกับคุณทักษิณ ตอนอยู่ไอทีวีก็ถือว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง เราพอใจที่จะได้ทำหน้าที่ของตัวเอง และเมื่อไปฟ้องศาลแรงงานเราก็ชนะ และเขาจ่ายค่าชดเชยมา สู้กันแฟร์ ๆ แบบนั้น”
“เจอกันวันนี้ยังคิดว่าจำได้นะคะ (หัวเราะ) เพราะเขาเป็นคนจำคนแม่นมาก หรืออาจจำไม่ได้เพราะอย่างน้อยมากกว่า 17 ปีที่ไม่ได้เจอกัน”
อยู่ไทยพีบีเอสเพียง 1 ปี แต่เธอบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่หมดพลังไปมาก ๆ เพราะการเมืองดุเดือดเข้มข้น บ้านเมืองมีการแยกสีเหลือง แดงกันอย่างชัดเจน การเป็นพิธีกรทำรายการ “ตอบโจทย์” ที่ฮาร์ดคอ ด้านการเมืองทำให้ทำงานได้ยากมาก
“ก็บอกผู้บริหารว่าไม่ไหวแล้ว เหนื่อยมากอยากจะพักนิ่ง ๆ เลยลาออกแล้วเดินทางไปอยู่กับเพื่อนที่ต่างประเทศ แบกเป้เที่ยวไปเรื่อย 3 เดือนก็ต้องกลับมาหาเงินต่อ (หัวเราะ)”
กลับมาอยู่ช่อง 3 มานั่งอ่านข่าวเที่ยงอยู่ประมาณ 6 ปี เป็นช่วงเวลาที่ต้องบอกว่าชีวิตราบเรียบและราบรื่นที่สุดในช่วงชีวิตการทำงาน
พอวันหนึ่งชีวิตก็ไม่อยากสบายอีกแล้ว เธอต้องการทำข่าวต่างประเทศในรูปแบบของสารคดีเชิงข่าว ที่อธิบายลึกลงไปในประเด็นต่าง ๆ ผ่านเรื่องเล่าโดยการลงไปสัมภาษณ์ผู้คนในพื้นที่ ซึ่งต้องทุ่มเททั้งพลังกายและพลังเงิน ด้วยต้นทุนในการผลิตสูงมาก

ความคิดนี้ถูกเสนอให้กับช่อง 3 แต่ยุคนั้นช่อง 3 กำลังอยู่ในช่วงปรับตัวเพราะใช้เงินก้อนใหญ่ไปกับการประมูลทีวีดิจิทัล 2 ช่อง
ในขณะเดียวกันช่อง PPTV ที่กำลังหารายการข่าวรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อดึงคนดูก็สนใจและได้ติดต่อมา
เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญครั้งใหญ่ เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตนักข่าว
6 ปีผ่านไปวันนี้ชีวิตของเธอต้องเจอกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง
The Next Chapter ของกรุณา บัวคำศรี
ในวันที่ตัดสินใจเดินออกมาจาก PPTV ทรัพย์สินอย่างหนึ่งที่เธอมีคือช่องยูทูบของตัวเอง “รอบโลก by กรุณา บัวคำศรี” ที่เริ่มไว้หลายปีแต่เพิ่งทำจริงจังเมื่อเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา
รายการ “รอบโลกเดลี่” ทางช่องยูทูบ “รอบโลก by กรุณา บัวคำศรี” เป็นรายการ live สดในช่วงเวลา 19.00 น.-20.00 น. ของทุกวันจันทร์-ศุกร์ มียอดคนติดตามประมาณ 1.11 ล้านคน (25/8/2567)
และเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา รอบโลก by กรุณา บัวคำศรี ก็ได้เข้าสู่วงการ TikTok โดยวันที่ 25 ส.ค. มียอดคนติดตาม 68,200 คน มียอดไลก์ 718,000 ไลก์
“ข่าวคือลมหายใจและชีวิตของณา บอกไม่ได้ว่าจะหยุดเมื่อไหร่ ไฟมันยังไม่หมด และแรงก็ยังมี สังขารยังให้ (หัวเราะ) ก็ยังทำต่อไปแน่นอน”
แต่การหารายได้เลี้ยงตัวเองจากช่องทางออนไลน์อย่างเดียวไม่เพียงพอแน่นอนในเมื่อการทำรายการรอบโลกเดลี่นั้นภาพก็ต้องซื้อแพง ต้องหาข้อมูลหาแหล่งข่าวมายืนยันซึ่งต้องใช้เงิน และเป็นรายการที่ต้องทำทุกวัน
ที่สำคัญเธอยังมีความต้องการที่จะไปรายงานข่าวจากพื้นที่เหมือนเดิม ซึ่งต้องใช้ต้นทุนสูงจำนวนหนึ่ง
ดังนั้น ต้องทำธุรกิจอย่างอื่นควบคู่กันไปด้วย

แบรนด์ “TARA” เลยเกิดขึ้น โดยสินค้าตัวแรกที่ออกมาเป็นเสื้อยืด cotton 100% จาก “ผ้าเดดสต็อก”
‘ผ้าเดดสต็อก’ เป็นผ้าในวงการอุตสาหกรรมเสื้อผ้าที่สั่งมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูปขาย แต่มีส่วนหนึ่งเหลือใช้เก็บไว้ในโกดังและกำลังกลายเป็นขยะที่รอวันกำจัด การใช้ผ้าเดดสต็อกนั้นช่วยลดการใช้น้ำจากการผลิตฝ้ายมหาศาล
เรื่องของโลกร้อน โลกรวน เป็นสิ่งหนึ่งที่เธอให้ความสนใจมานาน ถึงแม้จะมีโอกาสทำข่าวเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่หลายครั้ง แต่ยังเป็นสิ่งค้างคาอยู่ในใจตลอดว่ามันยังไม่มีอิมแพ็กพอ และในใจลึก ๆ ลงไปต้องการหาโอกาสที่จะทำในเรื่องนี้จริงจังมากขึ้น
วันนี้ เธอหวังว่า TARA จะเป็นตัวแทนในการสื่อสารกับคนเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ง่ายขี้น
“ณาให้คำนิยามของแบรนด์นี้ว่า พยายามจะทำสินค้าที่รบกวนสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด เราอาจจะยังไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นสินค้าที่เป็นกรีน 100% เพราะเป็นเรื่องที่ยากและต้นทุนสูง”

เธอยังย้ำว่า
“รายได้จาก TARA จะถูกหมุนเวียนกลับมาสนับสนุนการผลิตคอนเทนต์ ข่าว และสารคดี โดยเฉพาะประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม โลกร้อน โลกรวน ที่เป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนของโลกใบนี้”
รวมทั้งกำลังศึกษาสินค้าตัวใหม่ในเรื่องสกินแคร์ ที่คาดว่าปลายปีนี้จะได้เห็นตัวสินค้ากัน
เธอยอมรับว่าทั้งตลาดเสื้อผ้าและสกินแคร์มีผู้เล่นมากมาย โดยมีจุดขายในเรื่องโกกรีนเหมือนกัน แต่ TARA จะไม่ทะเยอทะยาน ขอเป็นผู้เล่นรายใหม่ที่ผลิตแต่สินค้าที่จำเป็นจริง ๆ ในราคาที่จับต้องได้ และแน่นอนของต้องคุณภาพดี

worst-case scenario ถ้าธุรกิจไม่สำเร็จ
“ก็หยุด เพราะเป็นคนมองโลกในความเป็นจริงอยู่แล้ว ในเมื่อเราพยายามเต็มที่แล้วไปต่อไม่ได้ก็ต้องยอมรับ ส่วนตัวเองก็อาจจะออกไปเขียนหนังสือ หรือไปทำอะไรที่ตัวเองสามารถทำได้ แค่นั้นเอง”
สำหรับทีมงาน จะบอกทุกคนตลอดเวลาว่า วันนี้ไม่ว่าบริษัทเล็กบริษัทใหญ่มันไม่มีอะไรที่แน่นอนหรอกดูอย่าง Lehman Brother บริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของโลกยังล้มเลย
“แล้วถ้าวันข้างหน้าเราไปต่อไม่ได้สิ่งที่ต้องทำคือ ต้องเมกชัวร์ว่าน้อง ๆ ในทีมทุกคนประมาณ 10 คน สามารถไปต่อได้ และมีเงินตอบแทนที่เหมาะสม เป็นสิ่งที่นาต้องเตรียมไว้อยู่แล้ว”
ปัจจุบันรายการข่าวหลักของเธอทางช่องยูทูบนอกจากรอบโลกเดลี่แล้ว ปีหน้าจะทำรายการสารคดีจริงจังมากขึ้น รวมทั้งจะเพิ่มรายการในช่วงเช้าด้วย
ในโลกทำข่าวที่มันเปลี่ยนไป พยายามคิดเสมอว่าจะไม่ทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง วิ่งตามคนอื่นก็ได้ ไม่ขัด จะทำคลิปสั้นคลิปยาว แบบยากแบบง่ายทำได้ แต่ทุกชิ้นต้องเป็นตัวเราที่ต้องซื่อสัตย์กับคนดู
“สำหรับตัวเองไม่ได้เปลี่ยน หลักการทำข่าวยังเหมือนเดิม สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกข่าวต้องมีที่มาที่ไปยืนยันได้ ไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้น เพราะเรื่องที่แต่งขึ้นไม่ใช่ข่าว ส่วนที่เหลือก็คือแอกเซสเซอรี่ที่ใส่เข้ามา ใส่บริบท ใส่วิญญาณ ใส่ชีวิตคนเข้าไป เพื่อให้เรื่องราวเชื่อมโยงกับคนดูง่ายขึ้นแค่นั้นเอง”

ถามว่าตอนนี้เหนื่อยกว่าเดิมไหม
“ไม่เหนื่อยค่ะ แต่เป็นความยุ่งมากกว่า เพราะวันนี้เรามี 2 ขา ขาหนึ่งยังอยู่ในโลกใบเดิม ซึ่งที่ผ่านมาเหนื่อยกว่านี้เยอะ อีกขาคือการทำธุรกิจที่พอเราเริ่มสเต็ปใหม่ ๆ ของชีวิต มันมีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะมาก ทั้งเรื่องการขาย การตลาด ต้องลงลึกเรื่องวัตถุดิบแต่ละตัว มันเป็นอีกโลกหนึ่งที่เราไม่เคยเข้ามาก่อน”
เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งสำคัญอีกครั้ง
บนเส้นทางใหม่ในครั้งนี้ไม่มีค่ายใหญ่ให้พึ่งพิง มีแต่ความตั้งใจจริงของเธอและทีมงาน
แน่นอนเสี่ยงเหมือนเดิมแต่ถ้าถึงปลายทางเมื่อไหร่ ใจมันจะฟูกว่าเดิมแน่นอนเหมือนกัน
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
