Trends  / นอกจากจำเป็นต่อการเดินทางสัญจรและลำเลียงสินค้าแล้ว อุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีขนาดมหึมายังสร้างงานให้หลายล้านคนทั่วโลก นี่ทำให้เทรนด์และความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในวงการนี้สำคัญและต้องจับตามองในแต่ละปี  

บรรทัดถัดจากนี้คือเทรนด์ในโลกยานยนต์ปี 2025

ทุกค่ายใส่เอไอในรถรุ่นใหม่: เทรนด์แรกที่จะได้เห็นกันในวงการยานยนต์ปี 2025 คือ เอไอรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะแบบสั่งการด้วยเสียง ซึ่งเสียงที่โต้ตอบกลับมาก็จะฟังรื่นหูและใกล้เคียงกับเสียงคนมากขึ้น หรืออย่างน้อยก็ไม่ฟังดูแข็ง ๆ เป็นหุ่นยนต์จนเกินไป

การใช้งานเอไอสั่งการด้วยเสียงที่จะเห็นกันในรถรุ่นใหม่ ๆ คือ การใช้งานแผนที่ และระบบความบันเทิงต่าง ๆ ในรถ รวมไปถึงการควบคุมระบบต่าง ๆ เช่น แอร์ ที่สั่งงานด้วยมือมานาน

เทรนด์ดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากพัฒนาการของเอไอช่วงไม่กี่ปีมานี้ จนเอไอมีใช้กันทั่วไปแทบทุกวงการและผู้คนทั่วโลกเข้าถึงเอไอได้มากขึ้น ดังนั้น ค่ายรถจึงต้องใส่เทคโนโลยีนี้เข้ามาด้วยเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค ไม่ตกขบวนเทคโนโลยี และจะเป็นปัจจัยช่วยกระตุ้นยอดขายได้อีกด้วย

ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ เร่งเครื่องไฮโดรเจน: เทรนด์ต่อมาคือ การแข่งขันพัฒนารถพลังไฮโดรเจนของค่ายรถญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากรถสันดาปภายในใช้น้ำมันไปเป็นรถพลังงานสะอาดต่าง ๆ

Toyota เดินหน้าพัฒนารถพลังไฮโดรเจนมาเกิน 10 ปี โดยปี 2024 ได้เริ่มทดลองวิ่งในออสเตรเลียไปแล้ว ทำให้ปี 2025 คงจะมีทดลองวิ่งในออสเตรเลียเพิ่มอีก โดยคาดว่าอาจเป็นรถพลังงานไฮโดรเจนแบบลูกผสมของรถตู้รุ่น Hiace ตามที่ได้เคยประกาศไว้

ด้าน Hyundai พัฒนารถพลังไฮโดรเจนมาตั้งแต่ปี 2018 กับรถรุ่น Nexo FCEV และตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้นำตลาดในปี 2030 โดยเคยประกาศว่าในปี 2025 จะเริ่มเดินหน้าผลิตรถพลังงานไฮโดรเจนอย่างจริงจัง

ท่ามกลางการขับเคี่ยวกันของ Toyota กับ Hyundai ด้านรถพลังไฮโดรเจน ก็มี 2 ประเด็นที่เหมือนกัน รัฐบาลญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ต่างสนับสนุนเต็มที่ แต่รถที่ใช้เทคโนโลยีไฮโดรเจนต้องพัฒนาอีกมากเพื่อให้น่าซื้อน่าใช้เพราะยังมีปัญหาต้นทุนการผลิต และชุดชาร์จที่ยังน้อยมาก  

ตลาดรถอีวีมีข่าวดีให้เห็นบ้าง: เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าปี 2024 สถานการณ์ตลาดรถอีวีทั่วโลกไม่ดีนัก จากทั้งกำลังซื้อที่ลดลง และจุดชาร์จที่ยังมีไม่เพียงพอ

แต่ปี 2025 สถานการณ์จะดีขึ้น เพราะรัฐบาลแทบทุกประเทศทั่วโลกและบริษัทต่าง ๆ ก็จะผนึกกำลังกันเพิ่มจุดชาร์จ ขณะที่รถอีวีรุ่นใหม่ ๆ ก็จะถูกลงอีก หรือมีตัวเลือกด้านราคามากขึ้น เพื่อกระตุ้นยอดขาย

ปัจจัยบวกเหล่านี้จะทำให้สถานการณ์โดยรวมในตลาดรถอีวีดีขึ้นมา และข่าวดีของรถอีวีจะเป็นอีกเทรนด์ของปี 2025 นั่นเอง

ยักษ์ยุโรปยังต้องลุยทางขรุขระ: เทรนด์ต่อมาในวงการยานยนต์ปี 2025 คือ การเดินหน้าตามแผนปรับโครงการของ Volkswagen ซึ่งสิ่งแรก ๆ ที่จะตามมาคือ การเริ่มปลดพนักงานครั้งใหญ่ หลังเป็นข่าวดังสะเทือนเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเยอรมันในปี 2024

ทว่าผลดีก็จะตกมาถึงผู้บริโภค โดยเมื่อต้องปรับโครงสร้าง ลดกำลังคน ลดค่าใช้จ่าย และรับมือปัญหาผลิตมากเกินความต้องการ รถรุ่นใหม่ ๆ ที่จะออกมาของ Volkswagen ในปี 2025 ซึ่งในจำนวนนี้มีรถอีวีรวมอยู่ด้วยนั้น ราคาย่อมถูกลงมา เพื่อให้ขายได้ และมีเงินมาคลายวิกฤตโดยเร็วที่สุด

สงครามการค้าสร้างปัญหารอบใหม่: อีกเทรนด์ในวงการยานยนต์ปี 2025 คือ ผลกระทบต่าง ๆ จากการตั้งกำแพงภาษีตามนโยบายปกป้องการค้าหลัง โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งค่ายรถที่จะรับผลกระทบมากสุดคือค่ายรถจีน

นโยบายดังกล่าวน่าจะส่งผลกระทบต่อชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตในแคนาดาและเม็กซิโกที่นำเข้าสหรัฐฯ ด้วย ขณะที่รัฐบาลหลายประเทศในยุโรปก็คงขึ้นกำแพงภาษีกับแบรนด์รถจีนเช่นกันเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศที่กำลังซบเซา

นี่จึงกล่าวได้ว่า ปี 2025 สงครามการค้ารอบใหม่จะเกิดขึ้น โดยวงการยานยนต์ จะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก

จีนย้ำตำแหน่งเบอร์ใหญ่: เทรนด์สุดท้ายในวงการยานยนต์ปี 2025 คือ ความเคลื่อนไหวต่างๆ ของค่ายรถจีน โดยปี 2025 จีนยังคงเป็นเบอร์ต้น ๆ ทั้งในเรื่องกำลังการผลิตและยอดขายรถอีวีในตลาดโลก

แบรนด์รถอีวีจีนมีแนวโน้มรุกตลาดอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศแถบเอเชียมากขึ้น เพราะต้องระบายรถที่ผลิตได้ออกไปหลังถูกสกัดกั้นจากสหรัฐฯ กับยุโรป

ส่วนรถขับเคลื่อนอัตโนมัติที่จีนก็เป็นเบอร์ต้น ๆ เช่นกัน และปี 2025 ก็ยังถือเป็นขั้วอำนาจในด้านนี้ โดยปี 2025 เมืองที่ไฟเขียวให้ทดลองวิ่งคงมีมากขึ้น และกฎระเบียบต่าง ๆ ก็จะผ่อนปรนลงไปอีก เพื่อเอื้อต่อความก้าวหน้าและการพัฒนาเทคโนโลยี/yahoonews, justauto

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer