เศรษฐกิจอินเดีย อีกไม่นานจะมีขนาดใหญ่กว่าญี่ปุ่น ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? (วิเคราะห์)
ในโลกปัจจุบันที่เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันสูง การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถส่งผลต่อภูมิศาสตร์เศรษฐกิจโลกโดยรวมได้อย่างมหาศาล หนึ่งในประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในขณะนี้คือการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย ซึ่งกำลังจะก้าวขึ้นมาแซงหน้าญี่ปุ่นในแง่ของขนาดเศรษฐกิจในอนาคตอันใกล้ และนี่คืออันดับขนาดเศรษฐกิจของประเทศที่มีขนาดของเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก 5 อันดับ (อ้างอิงตาม GDP)
1. สหรัฐอเมริกา: 25.43 ล้านล้านดอลลาร์
2. จีน: 14.72 ล้านล้านดอลลาร์
3. ญี่ปุ่น: 4.25 ล้านล้านดอลลาร์
4. เยอรมนี: 3.85 ล้านล้านดอลลาร์
5. อินเดีย: 3.41 ล้านล้านดอลลาร์
หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่า อินเดียจะแซงประเทศที่มีอุตสาหกรรมแข็งแกร่งระดับโลกอย่างญี่ปุ่นได้ แต่จีนเคยแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกมาแล้วในปี 2010 ซึ่งก่อนหน้านั้นญี่ปุ่นครองอันดับ 2 ของโลกเกือบ 40 ปี
จีนก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ของโลก (ที่แอบอยากเป็นเบอร์ 1 ) ด้วยการวางตัวเองให้เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก และขึ้นมาด้วยการเป็นผู้ซื้อรายใหญ่สุดในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ และมีเงินสำรองเงินตราต่างประเทศมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์
ผ่านเวลามาจนถึงปี 2025 โลกอาจจะได้เห็นการเติบโตแบบนี้อีกครั้ง อินเดีย ในฐานะเสือตัวใหม่แห่งเอเชียหวังว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับพวกเขาบ้างโดยเฉพาะปีนี้ปี 2025 อินเดียอาจแซงหน้าญี่ปุ่นและกลายเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเอเชียและใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก (รองจากอเมริกา จีน และเยอรมนี)
ถ้าดูจากจำนวนประชากรของอินเดียนั้นได้ GDPเปรียบอยู่แล้ว เพราะจำนวนคนของอินเดียมากกว่าจีนเสียด้วยซ้ำ (จีนมีประชากรประมาณ 1,408 ล้านคน ส่วนอินเดีย 1,440 ล้านคน) และเศรษฐกิจของอินเดียมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้เร็วกว่ามากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ผู้นำของอินเดียต้องการให้ ของอินเดียแตะ 5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 และการส่งออกสินค้าและบริการแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
มอง ๆ ดูแล้วเป็นฝันที่ใหญ่แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้ข่าวที่นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี เชิญเหล่าบรรดาผู้นำจากชาติตะวันตกมาหารือเรื่องความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนมีอยู่ให้เห็นบ่อย ๆ ยังไม่นับว่านายกฯ อินเดียชักชวนให้ Apple และ Tesla สองยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมเทคและยานยนต์มาตั้งรกรากฐานการผลิตที่อินเดีย ก็มีมูลค่าสูงมากอยู่แล้ว ถ้าพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้จะเห็นว่าไม่เกินจริงเลย
ปัจจุบันญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน แต่การคาดการณ์จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ชี้ว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อินเดียจะก้าวขึ้นมาแทนที่ญี่ปุ่นในอันดับดังกล่าว เพราะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปัจจุบันไม่เติบโตมานับสิบ ๆ ปีแล้ว แถมอุตสาหกรรมที่เคยเป็นหัวหอก และเป็นที่พึ่งของประเทศก็อ่อนกำลังลงอย่างน่าใจหายอะไรทำให้พวกเขาเดินทางมาถึงจุดนี้ได้
เราอยากจะพาผู้อ่านทุกท่านไปดูสาเหตุแห่งข้อสงสัยว่าทำไมอยู่ ๆ อินเดียถึงจะแซงญี่ปุ่นขึ้นมาครองอันดับ 3 รวมถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้อินเดียสามารถเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และเหตุผลที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นชะลอตัว
สถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต
อินเดียกำลังก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก ด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและประชากรวัยแรงงานจำนวนมาก ปัจจุบันอินเดียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก และคาดว่าจะก้าวขึ้นเป็นอันดับ 3 ภายในทศวรรษหน้า นอกจากความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจแล้ว อินเดียยังมีบทบาทสำคัญในด้านการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS และการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ อย่างไรก็ตาม อินเดียยังเผชิญความท้าทายหลายประการ ทั้งความเหลื่อมล้ำทางสังคม มลภาวะสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะกำหนดว่าอินเดียจะสามารถบรรลุศักยภาพในการเป็นมหาอำนาจระดับโลกได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ในอนาคต
ขนาดเศรษฐกิจ
ข้อมูลจาก IMF ระบุว่าในปี 2024 ขนาดเศรษฐกิจ (GDP) ของอินเดียอยู่ที่ประมาณ 3.41 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ญี่ปุ่นมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าอยู่ที่ 4.25 ล้านล้านดอลลาร์ (ต่างกันอยู่ราว ๆ 0.84 ล้านล้านดอลลาร์)
อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของ GDP ของอินเดียสูงถึง 6-7% ต่อปี ซึ่งมากกว่าญี่ปุ่นที่มีอัตราเติบโตเพียง 1-2% ต่อปีเท่านั้น แนวโน้มดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าอินเดียมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาแทนที่ญี่ปุ่นในอันดับ 3 ของเศรษฐกิจโลกภายในปี 2027 หากการเติบโตยังคงดำเนินไปในอัตราปัจจุบัน
ปัจจัยที่ทำให้ IMF คาดการณ์ว่าอินเดียจะแซงหน้าญี่ปุ่น
Marcel Thieliant หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Capital Economics กล่าวว่า “จากการคาดการณ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เราคาดว่าอินเดียจะแซงหน้าญี่ปุ่นในปี 2026 (ในแง่ขนาด GDP)” และยังเสริมว่าขณะนี้เรากำลังทบทวนการคาดการณ์โดยคำนึงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF มองว่าอินเดียจะขึ้นมาแซงญี่ปุ่นในช่วงปี 2025 นี้เลย ส่วน S&P Global Ratings มองว่ายังเร็วไปที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นและน่าจะเกิดในปี 2030 มากกว่า
หนึ่งในปัจจัยหลักที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของอินเดียคือ อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก (1.44 พันล้านคน) ในขณะที่ญี่ปุ่นมีประชากรอยู่เพียง 124 ล้านคน (ห่างกันมากกว่า 10 เท่า)
โดยเฉพาะประชากรวัยหนุ่มสาวที่เป็นกำลังแรงงานสำคัญของประเทศ โดยอินเดียมีประชากรที่เข้าสู่วัยทำงานอยู่ประมาณ 500 ล้านคน โดยประชากรส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 64 ปี ซึ่งคิดเป็นประมาณ 67.49% ของประชากรทั้งหมด ในขณะที่ญี่ปุ่นมีประชากรวัยทำงานอยู่ประมาณ 68 ล้านคน โดยมีแนวโน้มว่าประชากรที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของประเทศมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ เนื่องจากประชากรสูงอายุและอัตราการเกิดต่ำ
Fumio Kishida นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นมีโจทย์ใหญ่ให้ต้องขบคิด: BBC
ต้องบอกว่า ญี่ปุ่นอยู่ในภาวะถดถอยและกำลังต่อสู้กับภาวะเงินฝืดมานานหลายสิบปี สวนทางกับอินเดียที่ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา Louis Kuijs หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ S&P Global Ratings บอกว่า “ความจริงแล้วไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมอินเดียจึงไม่สามารถเติบโตได้ 6% ถึง 7% ต่อปี ในแง่มูลค่าที่แท้จริง”
หากแนวโน้มนี้ยังคงอยู่ อินเดียจะมี GDP มากกว่าญี่ปุ่นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และอาจจะแซงหน้าเยอรมนีและขึ้นมาอยู่อันดับ 3 รองจากสหรัฐอเมริกาและจีนในไม่ช้า นอกจากนี้ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลอินเดียที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมการลงทุนยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้อินเดียมีความพร้อมที่จะดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก อีกทั้งภาคเทคโนโลยีของอินเดียยังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในด้านไอทีและสตาร์ทอัป
นอกจากปัจจัยภายในประเทศแล้ว บทบาทในเวทีระหว่างประเทศของอินเดียยังได้รับการเสริมสร้างจากความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย ซึ่งช่วยเพิ่มการส่งออกและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ผลกระทบต่ออันดับเศรษฐกิจโลก
หากอินเดียสามารถก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของโลกได้สำเร็จ จะส่งผลต่อดุลอำนาจทางเศรษฐกิจโลกในหลายมิติ อินเดียจะมีบทบาทมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ เช่น G20 และ WTO ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างอิทธิพลของประเทศในด้านการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นอาจต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ
ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย
ประชากรวัยหนุ่มสาว
อินเดียมีประชากรประมาณ 1.4 พันล้านคน และกว่า 65% ของประชากรอยู่ในช่วงวัยทำงาน อายุเฉลี่ยของประชากรอินเดียอยู่ที่ประมาณ 29 ปี ซึ่งต่ำกว่าญี่ปุ่นที่มีอายุเฉลี่ยมากกว่า 48 ปี แรงงานวัยหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีบทบาทสำคัญในตลาดแรงงานของประเทศ แต่ยังช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ แรงงานอินเดียยังมีทักษะด้านเทคโนโลยีที่โดดเด่น ทำให้อินเดียสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก พร้อมด้วยประชากรวัยหนุ่มสาวที่พร้อมก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานทำให้อินเดียได้เปรียบญี่ปุ่นมากพอสมควร: Youth Ki Waaz
ความสามารถในการผลิตแรงงานรุ่นใหม่ที่มีทักษะในด้านต่าง ๆ เช่น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ยังช่วยเสริมสร้างตำแหน่งของอินเดียในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของโลก
นโยบายภาครัฐที่เอื้อต่อการลงทุน
รัฐบาลอินเดียได้ดำเนินนโยบายที่สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ “Make in India” ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออก การลดภาษีสำหรับนักลงทุน และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ทางรถไฟ และพลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ การปฏิรูปกฎระเบียบเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน
นเรนทรา โมดี ผลักดันการเติบโตด้านเศรษฐกิจรวมถึงเจรจาการค้ากับนานาอารยประเทศจนเศรษฐกิจอินเดียเติบโตน่าจับตามอง: MEP Middle East
ในช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับโครงการ “Digital India” ซึ่งมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล การให้บริการออนไลน์ และการพัฒนาระบบการชำระเงินดิจิทัล ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในภาคเศรษฐกิจหลายภาคส่วน
รัฐบาลอินเดียได้ดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ซึ่งมีส่วนสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก ความคิดริเริ่มเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการปรับปรุงภูมิทัศน์การลงทุนและส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
ความคิดริเริ่มที่สำคัญประการหนึ่งคือแคมเปญ Make in India ซึ่งเปิดตัวในปี 2014 โปรแกรมนี้มุ่งหวังที่จะเปลี่ยนอินเดียให้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลกโดยการลดขั้นตอนและส่งเสริมสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เอื้ออำนวย แคมเปญดังกล่าวประสบความสำเร็จในการทำให้ FDI เป็นเสรีมากขึ้นในหลายภาคส่วน เช่น การค้าปลีก การป้องกันประเทศ และการประกันภัย ทำให้สามารถมีส่วนร่วมของต่างชาติในตลาดอินเดียได้มากขึ้น แคมเปญดังกล่าวส่งผลให้ FDI ไหลเข้าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในภาคการผลิต โดยเงินไหลเข้าจากการขายหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อน ๆ
นอกจากนี้ ยังมีการนำแผน Production-Linked Incentive (PLI) มาใช้เพื่อดึงดูดการลงทุนในภาคส่วนสำคัญ เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยา แผนดังกล่าวมอบแรงจูงใจทางการเงินให้กับบริษัทที่บรรลุเป้าหมายการผลิตที่เฉพาะเจาะจง จึงส่งเสริมให้บริษัทเหล่านี้ตั้งโรงงานในอินเดีย ความคิดริเริ่มที่มุ่งเป้าดังกล่าวไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมศักยภาพในการผลิตเท่านั้น แต่ยังสร้างโอกาสในการทำงานและส่งเสริมนวัตกรรมอีกด้วย
รัฐบาลอินเดียยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงความสะดวกในการดำเนินธุรกิจผ่านการปฏิรูปกฎระเบียบที่ปรับกระบวนการให้คล่องตัวและลดภาระในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ซึ่งรวมถึงการนำระบบการอนุมัติและการอนุญาตแบบจุดเดียวระดับประเทศมาใช้ ซึ่งจะทำให้กระบวนการลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างชาติง่ายขึ้น นอกจากนี้ การนำภาษีสินค้าและบริการ (GST) มาใช้ยังทำให้การจัดเก็บภาษีเป็นมาตรฐานทั่วทั้งรัฐ ซึ่งช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดความซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกฎหมายด้านภาษี
แรงจูงใจทางภาษีเป็นอีกประเด็นสำคัญของนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนของอินเดีย การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone : SEZ) มอบพื้นที่เฉพาะพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดการลงทุนจากหลากหลายภาคส่วน เขตเหล่านี้เป็นข้อเสนอที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่มองหาเงื่อนไขการดำเนินงานที่เอื้ออำนวย
ยิ่งไปกว่านั้น การประเมินนโยบายการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่องช่วยให้มั่นใจว่านโยบายดังกล่าวยังคงมีความเกี่ยวข้องและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจทั่วโลก รัฐบาลมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงสมาคมอุตสาหกรรมและหอการค้า เพื่อปรับปรุงนโยบายตามข้อเสนอแนะและพลวัตของตลาด
นโยบายของรัฐบาลอินเดียที่มุ่งเน้นส่งเสริมการลงทุนนั้นมีความหลากหลายและได้รับการออกแบบเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อนักลงทุนผ่านแคมเปญต่าง ๆ เช่น Make in India การให้แรงจูงใจทางการเงินผ่านโครงการ PLI การปรับกระบวนการกำกับดูแลให้คล่องตัวขึ้น และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีผ่านเขตเศรษฐกิจพิเศษ ความคิดริเริ่มเหล่านี้ร่วมกันมีส่วนช่วยให้ประเทศอินเดียเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนต่างชาติ การลงทุนที่หลั่งไหลเข้ามาไม่เพียงแต่กระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังผลักดันการสร้างงาน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย
ภาคเทคโนโลยี (Technology Sector)
อินเดียเป็นหนึ่งในศูนย์กลางไอทีที่สำคัญที่สุดของโลก โดยมี เมืองบังกาลอร์ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ซิลิคอนแวลลีย์แห่งเอเชีย”การเติบโตของสตาร์ทอัปและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในธุรกิจต่าง ๆ ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ อินเดียยังเป็นผู้ให้บริการด้านไอทีและซอฟต์แวร์แก่บริษัทชั้นนำทั่วโลกอีกด้วย
ในปี 2024 อินเดียยังมีบริษัทสตาร์ทอัปที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนทั่วโลกมากกว่า 100 บริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ (Unicorns) ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในด้านนวัตกรรมและการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลก
ภาคเทคโนโลยีของอินเดียได้ก้าวขึ้นมาเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างรวดเร็ว โดยมีลักษณะเด่นคือภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรม ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) การพัฒนาซอฟต์แวร์ โทรคมนาคม และระบบนิเวศสตาร์ทอัปที่มีชีวิตชีวา ภาคส่วนนี้ทำให้ประเทศอินเดียเป็นผู้นำระดับโลกในด้านบริการเทคโนโลยี
อุตสาหกรรมบริการไอทีและซอฟต์แวร์มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ โดยมีบริษัทใหญ่ ๆ เช่น Tata Consultancy Services (TCS), Infosys และ Wipro ที่ให้บริการคุณภาพสูงแก่ลูกค้าทั่วโลก ส่วนนี้ไม่เพียงแต่สร้างรายได้มหาศาลจากการส่งออกเท่านั้น แต่ยังทำให้ประเทศอินเดียเป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องการสำหรับการเอาต์ซอร์สไอทีอีกด้วย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ระบบนิเวศสตาร์ทอัปได้เจริญรุ่งเรือง โดยมีสตาร์ทอัปหลายพันแห่งเกิดขึ้นในหลากหลายภาคส่วน เช่น ฟินเทค เฮลท์เทค เอ็ดเทค และอีคอมเมิร์ซ เมืองต่าง ๆ เช่น บังกาลอร์ ไฮเดอราบัด และมุมไบ กลายเป็นศูนย์กลางนวัตกรรม ดึงดูดผู้มีความสามารถและการลงทุน
โครงการริเริ่มของรัฐบาล เช่น Digital India มุ่งหวังที่จะปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและเพิ่มการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตทั่วประเทศ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของภาคส่วนนี้ต่อไป การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในด้านเทคโนโลยีมีจำนวนมาก โดยมีการลงทุนมากกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2021-2022 เพียงปีเดียว การลงทุนนี้ได้รับแรงหนุนจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะด้านวิศวกรรมและวิทยาการคอมพิวเตอร์จำนวนมากของอินเดีย ซึ่งสนับสนุนการให้บริการที่มีคุณภาพสูงและนวัตกรรม
ภาคเทคโนโลยีของอินเดียมีส่วนสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจหลายแง่มุม โดยสร้างงานโดยตรงและโดยอ้อมหลายล้านตำแหน่ง ช่วยลดอัตราการว่างงานและเพิ่มรายได้ของครัวเรือน ภาคส่วนนี้ช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออกอย่างมาก ในปี 2023 บริการไอทีเพียงอย่างเดียวมีส่วนสนับสนุนการส่งออกประมาณ 227,000 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ เทคโนโลยียังขับเคลื่อนนวัตกรรมในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ช่วยเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น การผลิตและเกษตรกรรม
ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนในเทคโนโลยียังนำไปสู่โครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้น เพิ่มความเชื่อมต่อผ่านบริการโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ต โครงสร้างพื้นฐานนี้สนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม และส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันระดับโลก โดยวางตำแหน่งอินเดียให้เป็นศูนย์กลางที่น่าดึงดูดสำหรับบริษัทข้ามชาติ
ภาคเทคโนโลยีของอินเดียไม่เพียงแต่เป็นตัวเร่งการสร้างงานและรายได้จากการส่งออกเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงผลักดันด้านนวัตกรรมและการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจอีกด้วย การขยายตัวอย่างต่อเนื่องถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาเส้นทางเศรษฐกิจของอินเดียในปีต่อ ๆ ไป
ตลาดภายในประเทศ (Domestic Market)
อินเดียมีตลาดภายในประเทศที่ใหญ่มาก เนื่องจากจำนวนประชากรที่มากและชนชั้นกลางที่ขยายตัว การเพิ่มขึ้นของกำลังซื้อในกลุ่มชนชั้นกลางทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศเติบโตอย่างมั่นคง นอกจากนี้ ความหลากหลายของสินค้าและบริการในตลาดอินเดียยังช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจในประเทศและต่างชาติ
ตลาดภายในประเทศของอินเดียกลายมาเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยมีลักษณะเด่นคือขนาดที่ใหญ่โตและความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยจำนวนประชากรที่เกิน 1,460 ล้านคน อินเดียจึงไม่เพียงแต่เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย ตลาดภายในประเทศที่ขยายตัวนี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุน
การเติบโตของตลาดภายในประเทศของอินเดียนั้นขับเคลื่อนด้วยปัจจัยหลายประการ ชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น: ชนชั้นกลางที่เพิ่มจำนวนขึ้นพร้อมรายได้ที่เพิ่มขึ้นทำให้รูปแบบการบริโภคในภาคส่วนต่าง ๆ ดีขึ้น เช่น การค้าปลีก ยานยนต์ และเทคโนโลยี เมื่อครัวเรือนจำนวนมากขึ้นเข้าสู่กลุ่มรายได้ปานกลาง อำนาจการซื้อของพวกเขาก็เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มมากขึ้น
โครงการริเริ่มของรัฐบาล: รัฐบาลอินเดียได้ดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในประเทศ โครงการริเริ่ม เช่น Make in India และ Digital India ส่งเสริมการผลิตในท้องถิ่นและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลตามลำดับ ซึ่งส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจ นโยบายเหล่านี้ไม่เพียงแต่ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) แต่ยังส่งเสริมให้บริษัทในประเทศขยายขนาดการดำเนินงานอีกด้วย
การขยายตัวของเมืองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งในการเติบโตของตลาดในประเทศของอินเดีย เมื่อเมืองขยายตัว ความต้องการการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานก็เพิ่มขึ้น ซึ่งในทางกลับกันก็สร้างความต้องการวัสดุก่อสร้าง ที่อยู่อาศัย และบริการ การลงทุนของรัฐบาลในโครงการโครงสร้างพื้นฐานช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อและการเข้าถึง ทำให้การค้าภายในประเทศราบรื่นยิ่งขึ้น
จำนวนประชากรที่มากทำให้ตลาดภายในประเทศอินเดียยังมีช่องว่างให้เติบโตอีกมาก: PixelPool
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี: การเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีและอีคอมเมิร์ซได้เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคในอินเดีย ด้วยการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและการใช้งานสมาร์ตโฟนที่เพิ่มขึ้น การช้อปปิ้งออนไลน์จึงได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายยิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่กระตุ้นยอดขายของธุรกิจเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมนวัตกรรมในการจัดการโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานอีกด้วย
ภาคเกษตรกรรมที่แข็งแกร่ง: เกษตรกรรมยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญของเศรษฐกิจอินเดีย โดยจ้างแรงงานจำนวนมาก การปรับปรุงผลผลิตทางการเกษตรล่าสุดเนื่องจากสภาพมรสุมที่เอื้ออำนวยทำให้รายได้ของชนบทเพิ่มขึ้น จึงเพิ่มอำนาจซื้อในพื้นที่ชนบท เนื่องจากผู้บริโภคในชนบทมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจมากขึ้น ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขายเร็ว (FMCG) จึงเพิ่มขึ้น
ตลาดภายในประเทศของอินเดียมีส่วนสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมากผ่านความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นซึ่งขับเคลื่อนโดยชนชั้นกลางที่เติบโต นโยบายรัฐบาลที่สนับสนุน การขยายตัวของเมือง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และภาคการเกษตรที่มีความยืดหยุ่น การบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่งนี้ไม่เพียงแต่รักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังทำให้ประเทศอินเดียเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ช่วยขับเคลื่อนเส้นทางการเติบโตของเศรษฐกิจโลกต่อไป
การผลิตและส่งออก
ภาคการผลิตและการส่งออกของอินเดียมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีส่วนสนับสนุนต่อ GDP อย่างมีนัยสำคัญและเสริมสร้างตำแหน่งในตลาดโลก ลักษณะที่หลากหลายของความสามารถในการผลิตของอินเดียควบคู่ไปกับการมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ในการส่งออกทำให้อินเดียเป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
อินเดียมีภาคการผลิตที่แข็งแกร่งซึ่งครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม รวมถึงสิ่งทอ ยา ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักร โครงการ Make in India ของรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนอินเดียให้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลกโดยส่งเสริมการลงทุนในประเทศและต่างประเทศในภาคการผลิต โครงการนี้ส่งผลให้มีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพในทุกภาคส่วน
ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนสนับสนุนรายใหญ่ที่สุดต่อผลผลิตและการจ้างงานของอินเดีย ในฐานะผู้ผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก อินเดียได้รับประโยชน์จากทั้งการบริโภคภายในประเทศและโอกาสในการส่งออก ในทำนองเดียวกัน ภาคเภสัชกรรมก็ได้รับความสำคัญเนื่องจากความสามารถในการผลิตยาสามัญราคาไม่แพง ทำให้อินเดียเป็นผู้ส่งออกยารายใหญ่ที่สุด
ภาคการส่งออกของอินเดียมีลักษณะเฉพาะโดยมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมถึงสินค้า เช่น สิ่งทอ เครื่องจักร สารเคมี บริการซอฟต์แวร์ และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อินเดียมีการเติบโตอย่างมากในการส่งออกสินค้า ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 450 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022-2023 รัฐบาลได้ดำเนินการเชิงรุกในการส่งเสริมการส่งออกผ่านโครงการและแรงจูงใจต่าง ๆ รวมถึงโครงการส่งออกสินค้าจากอินเดีย (MEIS) และโครงการแรงจูงใจที่เชื่อมโยงกับการผลิต (PLI)
การส่งออกบริการไอทีและซอฟต์แวร์มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ เนื่องจากคิดเป็นสัดส่วนที่สำคัญของการส่งออกทั้งหมดของอินเดีย บริษัทไอทีของอินเดียให้บริการแก่ลูกค้าทั่วโลก ซึ่งสร้างรายได้จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าเกษตรยังเติบโตเนื่องจากความต้องการเครื่องเทศ ผลไม้ และผักของอินเดียที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
ภาคการผลิตของอินเดียได้รับแรงหนุนจากการเข้ามาตั้งโรงงานของ Apple ในอินเดีย: Channel News
นอกจากนี้ อินเดียยังได้ขยายความร่วมมือด้านการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ เช่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดโลก
ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นชะลอตัว
ครั้งหนึ่งเศรษฐกิจญี่ปุ่นเคยเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษ 1960 ถึง 1980 จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ” แต่หลังจากฟองสบู่เศรษฐกิจแตกในต้นทศวรรษ 1990 ญี่ปุ่นก็เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวยาวนานกว่าสองทศวรรษ ที่รู้จักกันในนาม “สามทศวรรษที่สูญหายไป” หรือ “Thress Lost Decade”
การชะลอตัวนี้เกิดจากปัจจัยที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศและความท้าทายจากภายนอก ส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอยู่ในระดับต่ำมาอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐบาลจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งดังเช่นในอดีตได้ การทำความเข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจึงมีความสำคัญ เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับประเทศอื่น ๆ ในการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่คล้ายคลึงกัน และต่อไปนี้คือต้นตอของปัญหาที่ฉุดรั้งการเติบโตของญี่ปุ่น และเผลอ ๆ จะทำให้ญี่ปุ่นหลุดอันดับ 3 และโดนอินเดียโตแซงหน้า
สังคมผู้สูงอายุ
กราฟแสดงการเพิ่มขึ้นของตัวเลขผู้สูงอายุของญี่ปุ่นที่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ: Japan Government Public Relations
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุที่รุนแรงที่สุดในโลก อัตราการเกิดที่ลดลงและการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุส่งผลให้แรงงานขาดแคลนและรัฐบาลต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการอย่างมหาศาล ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจถูกจำกัด
ในปี 2023 ประชากรญี่ปุ่นที่มีอายุเกิน 65 ปีคิดเป็นกว่า 29% ของประชากรทั้งหมด ส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิตและบริการ
การที่ญี่ปุ่นมีปจำนวนประชากรสูงอายุในสัดส่วนมากถึง X% ต่างกับอินเดียที่มีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุอยู่ที่ x% ทำให้ผลิตภาพของญี่ปุ่นอาจสู้อินเดียไม่ได้ในอนาคต: Asia Society
หนี้สาธารณะ
ปัญหาหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เปรียบเสมือนโซ่ตรวนที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้ไปก้าวห้นาไปไหน โดยระดับหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นพุ่งสูงถึงระดับที่น่าตกใจ โดยมียอดรวมอยู่ที่ประมาณ 1,286.45 ล้านล้านเยน (ประมาณ 8.6 ล้านล้านดอลลาร์) ณ สิ้นปี 2023 ตัวเลขนี้คิดเป็นมากกว่าสองเท่าของขนาดเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นปัญหาที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของประเทศอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านล้านเยน หนี้ดังกล่าวเกิดจากการที่รัฐบาลพึ่งพาการกู้ยืมเงินเพื่อระดมทุนสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในช่วงการระบาดของโควิด-19 และเพื่อแก้ไขปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากเงินเฟ้อ
Kazuo Ueda ผู้ว่าการแบงก์ชาติญี่ปุ่น ต้องแก้ปัญหาเรื่องเยนแข็งค่า ไม่เช่นนั้นจะกระทบกับภาคส่งออกอย่างมาก: CNBC
การขาดนวัตกรรม
แม้ว่าญี่ปุ่นจะมีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยี แต่ในช่วงหลังการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ กลับชะลอตัวลง บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งยังคงพึ่งพาเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม ขณะที่บริษัทจากประเทศอื่น ๆ กำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ล้ำสมัยกว่า
การแข็งค่าของเงินเยน
การที่เงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้เกิดการชะลอตัว ซึ่งสร้างความกังวลให้กับทั้งผู้กำหนดนโยบายและนักเศรษฐศาสตร์ การที่เงินเยนแข็งค่านั้นย่อมส่งผลเสียหลายประการต่อเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น
ความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกลดลง เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นทำให้สินค้าญี่ปุ่นมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อต่างชาติ ซึ่งอาจส่งผลให้ปริมาณการส่งออกลดลง สิ่งนี้เป็นอันตรายโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับญี่ปุ่น ซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นอย่างมากเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เมื่ออุปสงค์ทั่วโลกผันผวน ผู้ผลิตในญี่ปุ่นอาจพบว่าการแข่งขันกับทางเลือกที่ถูกกว่าจากประเทศอื่นทำได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ
ต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นทำให้ต้นทุนการนำเข้าลดลง แต่ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ผู้ผลิตในประเทศต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้นเมื่อพวกเขาต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบ สถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้บริษัทต่าง ๆ มีกำไรลดลง เนื่องจากบริษัทไม่สามารถส่งต่อต้นทุนให้กับผู้บริโภคได้ ส่งผลให้การลงทุนและการผลิตลดลง
พฤติกรรมผู้บริโภค ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกปลอดภัยที่เป็นเท็จเกี่ยวกับอำนาจซื้อ อย่างไรก็ตาม หากค่าจ้างไม่เพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ รายได้จริงจะลดลง ส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง การที่การบริโภคภายในประเทศชะลอตัวลงนี้ยิ่งทำให้เศรษฐกิจซบเซาลง
การเปลี่ยนแปลงการลงทุน เมื่อค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น บริษัทต่างๆ อาจย้ายการผลิตไปยังต่างประเทศเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งผลให้ความสามารถในการผลิตในประเทศลดลง แนวโน้มนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการสร้างงานเท่านั้น แต่ยังทำให้ความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในระยะยาวลดลงด้วย
แรงกดดันจากภาวะเงินฝืด ญี่ปุ่นเผชิญกับแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดมานานหลายทศวรรษ ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นอาจทำให้แรงกดดันเหล่านี้รุนแรงขึ้นได้ โดยทำให้ราคาสินค้าที่นำเข้าลดลงในขณะที่ไม่สามารถกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศได้เพียงพอ เมื่อราคาตกต่ำ ธุรกิจต่าง ๆ อาจต้องดิ้นรนเพื่อรักษาผลกำไร ซึ่งนำไปสู่การลงทุนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลง
ความเชื่อมั่นของตลาด ความผันผวนที่เกี่ยวข้องกับค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของตลาด นักลงทุนอาจระมัดระวังเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจของญี่ปุ่นหากพวกเขามองว่าความผันผวนของค่าเงินเป็นตัวบ่งชี้ถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในวงกว้างหรือความไร้ประสิทธิภาพของนโยบาย
แม้ว่าค่าเงินเยนที่แข็งค่าอาจดูเหมือนเป็นประโยชน์ในแง่ของการลดต้นทุนการนำเข้าและเพิ่มอำนาจซื้อ แต่ก็ก่อให้เกิดความท้าทายที่สำคัญซึ่งส่งผลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงของการส่งออก แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อผู้ผลิตในประเทศ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงทุน และแนวโน้มภาวะเงินฝืดที่ดำเนินอยู่ ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนซึ่งขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นพยายามที่จะรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลกในโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น
การที่ เศรษฐกิจอินเดีย กำลังจะก้าวขึ้นมามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าญี่ปุ่นสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลก โดยมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้
ในขณะที่ญี่ปุ่นเผชิญกับความท้าทายจากสังคมผู้สูงอายุและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อินเดียกลับมีจุดแข็งจากประชากรวัยแรงงานจำนวนมากและการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมการผลิต และการเติบโตของภาคบริการโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย
อย่างไรก็ตาม การที่อินเดียจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าญี่ปุ่นนั้น ไม่ได้หมายความว่าประชาชนอินเดียจะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่า เนื่องจากรายได้ต่อหัวของประชากรอินเดียยังคงต่ำกว่าญี่ปุ่นอยู่มาก และอินเดียยังคงมีความท้าทายในการกระจายความมั่งคั่งและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอีกยาวไกล การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียจึงเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและทั่วถึง
เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ
อ้างอิง
https://www.economist.com/the-world-ahead/2024/11/20/indias-economy-will-soon-overtake-japans
https://indianexpress.com/article/world/japan-economy-india-overtake-fourth-largest-9323071/
https://www.gov-online.go.jp/eng/publicity/book/hlj/html/202102/202102_09_en.html
https://indianexpress.com/article/world/japan-economy-india-overtake-fourth-largest-9323071/
https://indianexpress.com/article/business/imf-global-economy-growth-forecast-inflation-9135295/
https://www.japantimes.co.jp/business/2024/11/12/economy/india-japan-gdp/
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
