ซอสหอยนางรมที่เราใช้ประกอบอาหารอยู่ในปัจจุบัน จะราดบนผักลวกก็ดี ผัดผักก็ดี เป็นเครื่องปรุงรสสามัญประจำบ้าน แท้จริงแล้วเกิดจากความบังเอิญที่ทำให้ซอสชนิดนี้ถือกำเนิดขึ้นมา และมันก็เป็นเหตุการณ์เมื่อร้อยปีก่อน
ในปี 1888 Lee Kum Sheung เด็กชายที่เติบโตมาในครอบครัวเกษตรกร คุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก ทำให้ลีต้องต่อสู้ดิ้นรนเอาตัวรอดมาเอง
เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเขาย้ายไปอยู่ที่เมืองหนานสุ่ย แล้วเปิดกิจการร้านอาหารเล็ก ๆ และเสิร์ฟเมนูที่ใช้วัตถุดิบหลักอย่างหอยนางรม
วันหนึ่งที่กำลังตั้งหม้อซุปหอยนางรม มิสเตอร์ลียุ่งจนหัวหมุนทำให้ลืมดูเตาไฟ กระทั่งกลิ่นแปลก ๆ ลอยมาเตะจมูก พอเขาวิ่งไปถึงห้องครัวก็ต้องผงะ เมื่อซุปหอยนางรมที่ตั้งหม้อไว้ เคี่ยวจนข้นกลายเป็นของเหลวหนืดสีน้ำตาลเข้ม ขณะกำลังจะเททิ้งดันมีอะไรดลใจให้ลองชิมดูก่อน กลับยิ่งต้องตกใจอีกหน เพราะของเหลวหนืดหน้าตาแปลก ๆ นี้ มีรสชาติดีเยี่ยม
และนั่นคือการค้นพบเครื่องปรุงรสชนิดนี้เป็นครั้งแรก
นับจากนั้นเป็นต้นมา มิสเตอร์ลีก็ใช้เวลาช่วงเย็นในการกลั่นซอสหอยนางรมออกมาจำหน่าย เครื่องปรุงชนิดนี้เป็นซอสปรุงรสที่มีสีเข้ม รสชาติหวานนิด อูมามิหน่อย ทำจากซุปหอยนางรมที่เคี่ยวกรำจนเดือด แล้วปรุงรสเพิ่มด้วยเครื่องปรุงและสารเพิ่มความข้น และหากจะให้ได้รสกลมกล่อมหอยนางรมต้องมาจากน้ำกร่อยและโตเต็มที่ ซอสใหม่ของเขาได้รับความนิยมไปทั่วเขต แพร่กระจายไปยังเมืองใกล้เคียงอย่างเจียงเหมิน จงซาง กวางโจว และมาเก๊า
ก่อนที่ในปี 1888 เขาจะใส่ชื่อ “Lee Kum Kee” ไว้เหนือป้ายร้าน แล้วก็กลายมาเป็นชื่อติดปากของลูกค้านับแต่นั้น

ธุรกิจมอดไหม้ แต่ไฟในใจไม่มอดดับ
ธุรกิจเครื่องปรุงรสกำลังไปได้สวย ทว่าสิบปีต่อมาหมู่บ้านของเขาเกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ซึ่งถูกบันทึกบนหน้าประวัติศาสตร์ของ Nanshui ด้วย แรงไฟกลืนกินบ้านเรือนชาวบ้านวอดวาย รวมถึงร้านขายซอสหอยนางรมด้วย
มิสเตอร์ลีหอบลูกห้าคนหนีเปลวเพลิงออกมาได้ แม้จะมีชีวิตรอดแต่พวกเขากลับต้องยืนมองร้านที่สร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงสลายเป็นเถ้าถ่านต่อหน้าต่อตา
ต่อให้ร้านจะมอดไหม้ แต่ไฟสู้ในใจเขายังไม่มอดดับ ลีไม่มีเวลาให้เสียใจ ในปีนั้นเขาอพยพไปอยู่มาเก๊า ก่อตั้งร้านใหม่ที่นั่น แล้วผลิตซอสหอยนางรมขาย ชื่อเสียงที่สั่งสมมาจากร้านเดิมทำให้มีลูกค้าแวะเวียนตามมาอุดหนุนที่ร้านใหม่ ประกอบกับทำเลร้านใหม่อยู่ในเขตศูนย์กลางธุรกิจ พื้นที่ใหญ่กว่าเมืองหนานสุ่ย ประชากรก็มีทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยว ต้นทุนการผลิตก็ถูกลง

ขณะนั้นบรรดาลูกเริ่มเป็นผู้ใหญ่ก็ได้เข้ามาช่วยธุรกิจผู้เป็นพ่อ แต่ละคนก็ดูแลด้านที่ตนถนัด เช่น Lee Shiu Nan รับผิดชอบการปรับปรุงมาตรฐานเทคโนโลยีและคุณภาพผลิตภัณฑ์ ขณะที่ Lee Shiu Tang ดูแลการตลาดและส่งเสริมการขาย ในปี 1929 ผู้เป็นพ่อก็เสียชีวิตลงด้วยอายุ 61 ปี ธุรกิจตกไปอยู่ในมือของ Lee Shiu Nan
หนีทะเลเพลิง มาผจญทะเลเลือด
ในปี 1937-1945 บริษัทก็เจอมรสุมอีกระลอก ต้องเผชิญกับสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ผู้คนตายเป็นเบือ เศรษฐกิจมาเก๊าพังทลาย การบริโภคลดลง และการขนส่งถูกตัดขาด ทำให้หลังสงครามจบบริษัทต้องรีบย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่ฮ่องกง
หลังรอดพ้นจากสงคราม บริษัทก็ยังต้องรับมือกับปัญหาผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายทางสังคมตามมา ไม่เพียงเท่านั้นหนึ่งทศวรรษต่อมา เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม (1966-76) ทุกธุรกิจตึงเครียด และเมื่อปี 1972 ที่ Lee Man Tat ทายาทรุ่นที่สามของครอบครัวขึ้นเป็นประธานบริษัทคนใหม่ ก็ได้เสนอต่อผู้ถือหุ้นว่าบริษัทควรต้องหันไปขายผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้น แต่ก็ถูกคัดค้านจากลุงและน้องชาย ทำให้เขาต่อรองซื้อหุ้นจากญาติพี่น้องเพื่อกุมอำนาจตัดสินใจสูงสุด

Man Tat ใช้เงินทุนที่ได้รับจากกว่างโจว ไปสร้างโรงงานใหม่ในมาเก๊าเพื่อผลิตสินค้าสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ถัง กะละมัง อ่าง สินค้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่าในโมซัมบิก เขาจึงสร้างโรงงานเพิ่มอีกเจ็ดแห่ง เพื่อผลิตร่ม กระเป๋า เครื่องหนัง เสื้อผ้า และสินค้าเบ็ดเตล็ด
จากนั้นจึงขยายกิจการไปยังสหรัฐอเมริกาในทศวรรษถัดมา บริษัทได้เปิดโรงงานแห่งแรกในสหรัฐอเมริกาที่ลอสแองเจลิสในปี 1991 โดยมีสายการผลิตที่ทันสมัยที่สุดในเวลานั้น ปัจจุบันมีฐานการผลิต 5 แห่ง ในฮ่องกง มาเลเซีย จีน ลอสแองเจลิส
วันที่คลื่นลมสงบ ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอ

ปัจจุบันจากธุรกิจกงสีได้ขยายกิจการเป็น Lee Kum Kee International Holdings Ltd. แตกไลน์ธุรกิจไปผลิตยาสมุนไพรจีน ภายใต้บริษัท LKK Health Products Group Ltd. มีแบรนด์หลักชื่อ Infinitus นอกจากนี้ ยังเป็นเจ้าของบริษัทเภสัชกรรม Tianfangjian และบริษัทเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ HeHa รวมถึงบริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่าง Infinitus Property Investment
แต่พอร์ตโฟลิโอกลุ่มซอสจีนและเครื่องปรุงรสยังเป็นเรือธงของบริษัท จำหน่ายในกว่า 100 ประเทศ ทั่วทั้ง 5 ทวีป และรั้งอันดับ 1 แบรนด์ซอสจีนแท้ฮ่องกง และแบรนด์ซอสหอยนางรมอันดับ 1 ของโลก และได้รับความไว้วางใจจากสถานีอวกาศ ให้นักบินนำติดตัวไปรับประทานบนยาน
ไม่นานมานี้ บริษัทได้ประกาศซื้ออาคารสำนักงานใหญ่ในลอนดอน ด้วยมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นอาคารพาณิชย์แห่งเดียวที่มีราคาสูงที่สุดในสหราชอาณาจักร อาคารดังกล่าวมีขนาด 130,000 ตารางเมตร เป็นอาคารที่สูงอันดับ 6 ในลอนดอน
ในโลกธุรกิจมีคำพูดที่ว่า “คำสาปรุ่นที่สาม” หมายความว่า ธุรกิจใดก็ตามเมื่อก้าวสู่รุ่นที่สามจะพินาศในช่วงนี้ คือคนรุ่นแรกเริ่มต้นธุรกิจ รุ่นสองขยาย รุ่นสามทำลาย
แต่ ลีกุมกี่ ทลายคำสาปนั้น ส่งไม้ต่อธุรกิจสู่ทายาทรุ่นหกแล้ว
ปัจจุบัน “แซมมี่” ดำรงตำแหน่งประธานบริหาร Lee Kum Kee Group
จากร้านในตรอกซอยสู่บริษัทระดับโลกที่มีมูลค่า 19,300 ล้านดอลลาร์ 654,000 ล้านบาท และครอบครัวลีก็ติดอยู่ใน 10 เศรษฐีที่มั่งคั่งที่สุดของฮ่องกง จากการจัดอันดับของ Forbes
.
จากวิสัยทัศน์เดิม ‘ที่ไหนมีชาวจีน ที่นั่นมี Lee Kum Kee’
สู่ฝันใหม่ที่ใหญ่ขึ้น ‘ที่ไหนมีผู้คน ที่นั่นมี Lee Kum Kee’
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline
