การบินไทยรายได้โตต่อเนื่อง แม้ขาดทุนทางบัญชีจากแผนฟื้นฟู
ปี 2567 การบินไทยมีรายได้รวม 187,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.7% จากปี 2566 ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (EBIT) อยู่ที่ 41,515 ล้านบาท เติบโต 3.2% โดยอัตรากำไร EBIT อยู่ที่ 22.1% ดีกว่าประมาณการของแผนฟื้นฟู
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีผลขาดทุนทางบัญชี 26,901 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการแปลงหนี้เป็นทุน 45,271 ล้านบาท ตามแผนฟื้นฟู โดยการใช้สิทธิแปลงหนี้ของเจ้าหนี้ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม คิดเป็น 40,582 ล้านบาท
ทั้งนี้ ขาดทุนดังกล่าวเป็นเพียงผลทางบัญชี ไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และการออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ เนื่องจากบริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวกหลังปรับโครงสร้างทุนเสร็จสิ้นในเดือนพฤศจิกายน 2567
การบินไทยพลิกฟื้นฐานะการเงิน
สิ้นปี 2567 การบินไทยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หลังหักค่าเช่าเครื่องบิน (EBITDA – Aircraft Cash Lease) ที่ 41,473 ล้านบาท สูงกว่าข้อกำหนด 20,000 ล้านบาท ตามเงื่อนไขแผนฟื้นฟูกิจการ
ส่วนของผู้ถือหุ้นกลับมาเป็นบวกที่ 45,495 ล้านบาท จากที่เคยติดลบ 43,352 ล้านบาทในปี 2566 โดยได้รับแรงหนุนจากกำไรจากการดำเนินงานและการปรับโครงสร้างทุน ส่งผลให้บริษัทบรรลุเงื่อนไขสำคัญของแผนฟื้นฟู และพ้นจากสถานะเสี่ยงถูกเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
การบินไทยพร้อมเดินหน้าออกจากแผนฟื้นฟู และเตรียมกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้ง
เตรียมประชุมผู้ถือหุ้น แต่งตั้งกรรมการใหม่ ก่อนออกจากแผนฟื้นฟู
การบินไทยเดินหน้าขั้นตอนสุดท้ายของแผนฟื้นฟูกิจการ โดยที่ประชุมคณะผู้บริหารมีมติเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 18 เมษายน 2568 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมในวันที่ 14 มีนาคม 2568
ที่ประชุมจะพิจารณาการแต่งตั้งกรรมการบริษัทใหม่จำนวน 11 หรือ 12 ท่าน โดยมีกรรมการเดิม 3 ท่าน ได้แก่ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์, นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร และ พลอากาศเอก อำนาจ จีระมณีมัย ร่วมด้วยกรรมการใหม่ 8 หรือ 9 ท่าน ซึ่งรวมถึงกรรมการอิสระ 3 ท่าน
หากได้รับมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นและการอนุมัติจากศาลล้มละลายกลาง บริษัทจะดำเนินการจดทะเบียนกรรมการใหม่และยื่นคำร้องขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการต่อไป
ลดมูลค่าหุ้นเหลือ 1.30 บาท เคลียร์ขาดทุนสะสม เตรียมพร้อมจ่ายปันผล
ที่ประชุมคณะผู้บริหารแผน เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) จาก 10 บาท เหลือ 1.30 บาท เพื่อล้างขาดทุนสะสมทางบัญชีให้เหลือเพียง 180 ล้านบาท
การลดมูลค่าหุ้นทำให้ทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วลดลงจาก 283,033 ล้านบาท เหลือ 36,794 ล้านบาท โดยไม่กระทบเจ้าหนี้ บริษัท หรือมูลค่าหุ้นที่แท้จริง
มาตรการนี้ช่วยให้บริษัทสามารถพิจารณาจ่ายปันผลในอนาคตให้แก่ผู้ถือหุ้น รวมถึงเจ้าหนี้ที่แปลงหนี้เป็นทุน และเพิ่มโอกาสดึงดูดนักลงทุนเมื่อหุ้นกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ นอกจากนี้ ยังช่วยให้บริษัทสามารถออกหุ้นเพิ่มทุนได้ง่ายขึ้นหากต้องการ筹资เพื่อขยายธุรกิจหรือชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ
รายได้โต 16.7% แม้อัตราบรรทุกลดลงเล็กน้อย
ปี 2567 การบินไทยและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 187,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.7% จากปีก่อน โดยมีผู้โดยสาร 16.14 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.38 ล้านคน ขณะที่อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ลดลงเล็กน้อยจาก 79.7% เป็น 78.8%
การเติบโตของรายได้มาจากอุตสาหกรรมการบินที่ฟื้นตัว การเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน ขยายเส้นทางบิน และเพิ่มฝูงบินเพื่อรองรับความต้องการเดินทางที่เพิ่มขึ้น
ค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการพิเศษ) อยู่ที่ 146,474 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.2% จากปีก่อน โดยค่าใช้จ่ายหลักคือค่าน้ำมันเชื้อเพลิง 50,474 ล้านบาท คิดเป็น 34.5% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด
บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (EBIT) 41,515 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่มีกำไร 40,211 ล้านบาท แต่มีต้นทุนทางการเงิน 18,781 ล้านบาท และขาดทุนทางบัญชีจากการแปลงหนี้เป็นทุน 45,271 ล้านบาท ซึ่งไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจ
แม้มีผลขาดทุนทางบัญชี บริษัทฯ ยังคงมีส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวก และไม่มีผลกระทบต่อกระบวนการออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ
เร่งขยายฝูงบิน
ปี 2567 การบินไทยและบริษัทย่อยมีผลขาดทุนสุทธิ 26,901 ล้านบาท จากกำไร 28,123 ล้านบาทในปีก่อน ขณะที่ EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินอยู่ที่ 41,839 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1,036 ล้านบาท
ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 292,508 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.4% จากปีก่อน ส่วนหนี้สินรวมลดลง 12.5% อยู่ที่ 246,919 ล้านบาท ขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 88,731 ล้านบาท เป็น 45,589 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากกำไรจากการดำเนินงานและการปรับโครงสร้างทุน
ปัจจุบันบริษัทมีเครื่องบิน 79 ลำ และวางแผนเพิ่มเที่ยวบินเป็น 883 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ในปี 2568 จาก 843 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ในปี 2567 เพื่อรองรับความต้องการเดินทางที่เพิ่มขึ้น พร้อมขยายฝูงบินให้สอดคล้องกับแผนฟื้นฟูกิจการและการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต



